ระเบียบ/ข้อกฎหมาย ที่เกี่ยวกับการจัดทำค่าเช่ามาตรฐานกลาง(เท่าที่รวบรวมได้ครับ)
1. มาตรา 8 ให้ผู้รับประเมินชำระภาษีปีละครั้งตามค่ารายปีของทรัพย์สิน คือ โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นกับที่ดินซึ่งใช้ต่อเนื่องกับโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ในอัตราร้อยละสิบสองครึ่งของค่ารายปี
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ “ค่ารายปี” หมายความว่า จำนวนเงินซึ่งทรัพย์สินนั้นสมควรให้เช่าได้ในปีหนึ่ง ๆ ในกรณีที่ทรัพย์สินนั้นให้เช่า ให้ถือว่าค่าเช่านั้นคือค่ารายปี แต่ถ้าเป็นกรณีที่มีเหตุอันสมควรที่ทำให้พนักงานเจ้าหน้าที่เห็นว่าค่าเช่านั้นมิใช่จำนวนเงินอันสมควรที่จะให้เช่าได้ หรือเป็นกรณีที่หาค่าเช่าไม่ได้เนื่องจากเจ้าของทรัพย์สินดำเนินกิจการเองหรือด้วยเหตุประการอื่น ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจประเมินค่ารายปีได้ โดยคำนึงถึงลักษณะของทรัพย์สิน ขนาด พื้นที่ ทำเลที่ตั้ง และบริการสาธารณะที่ทรัพย์นั้นได้รับประโยชน์ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
2. มาตรา 13 ถ้าเจ้าของโรงเรือนใดติดตั้งส่วนควบที่สำคัญมีลักษณะเป็นเครื่องจักรกลไก เครื่องกระทำหรือเครื่องกำเนิดสินค้าเพื่อใช้ดำเนินการอุตสาหกรรมบางอย่าง เช่น โรงสี โรงเลื่อย ฯลฯ ขึ้นในโรงเรือนนั้นๆ ในการประเมินท่านให้ลดค่ารายปีลงเหลือหนึ่งในสามของค่ารายปีของทรัพย์สินนั้น รวมทั้งส่วนควบดังกล่าวแล้วด้วย
3. หนังสือด่วนที่สุด ที่ มท 0307/ ว 2393 ลงวันที่ 10 กันยายน 2536 เรื่องซักซ้อมแนวทางการจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดิน และการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งหนังสือสั่งการฉบับนี้ได้แนะนำวิธีการจัดทำราคาค่าเช่ามาตรฐานกลางเฉลี่ยเป็นตารางเมตร พอจะอธิบายสังเขปดังนี้
- ใช้หลักการสำรวจภาคสนาม ออกไปเก็บข้อมูลการเช่าของโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างในเขตพื้นที่ อบต.โดยแยกรายละเอียดประเภทโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้าง เช่น บ้านไม้ชั้นเดียว บ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูง บ้านตึกชั้นเดียว ตึกแถวสองชั้น อื่นๆ เป็นต้น
- ถ้า อบต. มีพื้นที่ที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจแตกต่างกันมาก ควรกำหนดแยกเป็นทำเลที่ 1, 2, 3,4,5 เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้น พื้นที่ที่มีความเจริญน้อยหรือชนบทราคาค่าเช่าก็มักจะต่ำกว่าพื้นที่เมืองหรือกึ่งเมือง
- เมื่อเก็บข้อมูลการเช่าโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างให้ได้มากเพียงพอแล้ว ให้จัดกลุ่มประเภทโรงเรือนแยกเป็นทำเล ใช้หลักการคำนวณทางคณิตศาสตร์หาค่าเช่าเป็นตารางเมตรของแต่ละโรงเรือน หากโรงเรือนประเภทใดมีน้อยกว่า 3 ตัวอย่าง ให้เทียบเคียงค่าเช่าหรือค่ารายปีจากท้องถิ่นใกล้เคียง
- เมื่อได้ค่าเช่าต่อตารางเมตรของแต่ละโรงเรือนประเภทเดียวกันแล้ว ให้นำมาหาค่าเฉลี่ยกลางตามกลุ่มประเภทโรงเรือนตามวิธีทางสถิติ จะได้ราคาค่าเช่ามาตรฐานกลางเฉลี่ยต่อตารางเมตรต่อเดือน
- เมื่อได้ค่าเช่ามาตรฐานกลางต่อตารางเมตรต่อเดือนให้แยกเป็นแต่ละประเภทอาคารหรือโรงเรือน แล้วจัดทำเป็นบัญชีนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาการประเมินค่ารายปี
- ให้ความเห็นชอบ และให้ผู้บริหารท้องถิ่นลงนามประกาศใช้ต่อไป
4. หนังสือกระทรวงมหาดไทย ที่ มท 0808.3/ว2164 เรื่อง ซักซ้อมแนวทางการประเมินโรงเรือนและที่ดินกรณีตู้โทรศัพท์สาธารณะ ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2552 สาระสำคัญต้องมีอัตราไม่มากกว่ากรุงเทพมหานคร
5. หนังสือกรมการปกครอง ที่ มท 0313.5/ว 1771 ลงวันที่ 17 กรกฎาคม 2545 เรื่อง แนวทางปฏิบัติในการจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดิน 35
6. ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์การประเมินค่ารายปีแห่งทรัพย์สิน ลงวันที่ 30 มีนาคม 2535 กรณีการประเมินค่ารายปีทรัพย์สินที่ให้เช่า และมีเหตุผลสมควรที่ทำให้พนักงานเจ้าหน้าที่เห็นว่าค่าเช่านั้นมิใช่จำนวนเงินอันสมควรที่จะให้เช่าได้ หรือเป็นกรณีที่หาค่าเช่าไม่ได้เนื่องจากเจ้าของทรัพย์สินดำเนินกิจการเอง หรือด้วยเหตุประการอื่น ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินค่ารายปีโดยเทียบเคียงกับค่ารายปีของทรัพย์สินที่ให้เช่าที่มีลักษณะของทรัพย์สิน ขนาด พื้นที่ ทำเลที่ตั้ง และบริการสาธารณะที่ทรัพย์สินนั้นได้รับประโยชน์คล้ายคลึงกัน ในเขตของหน่วยการบริการราชการท้องถิ่น
7. ข้อเสนอของสำนักงาน ป.ป.ป. และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2536 ว่าด้วยหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติในการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดิน จะต้องไม่ให้ประชาชนรับภาระภาษีเพิ่มขึ้นกว่าแนวทางปฏิบัติเดิมจนก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนโดยทั่วไป และอีกประการหนึ่งคือให้ท้องถิ่นกำหนดราคาค่าเช่ามาตรฐานเฉลี่ยต่อตารางเมตรเป็นการภายใน เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ใช้เป็นแนวทางประกอบการประเมินค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดิน
8. หนังสือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ นร 0601/1433 ลงวันที่ 21 ธันวาคม 2535 โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างที่จะต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน ต้องมีลักษณะดังนี้
- เข้าอยู่อาศัยได้ หรือ ต้องใช้เป็นที่ไว้สินค้า หรือต้องใช้ประกอบอุตสาหกรรม
- ได้ก่อให้เกิดประโยชน์รายได้แก่ผู้เป็นเจ้าของด้วย
9. หนังสือ มท 0312/ว 560 ลงวันที่ 23 เมษายน 2522 ข้อ 4.1 แนะนำการหาค่ารายปีในส่วนห้องพักโรงแรม = ค่าเช่าห้อง x จำนวนห้อง x 365 วัน x ไม่ต่ำกว่า 8%
10. หนังสือด่วนที่สุด นร 0601/780 ลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2536 เรื่อง หารือข้อกฎหมายเกี่ยวกับการดำเนินการตามมติคณะรัฐมันตรีและการจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดิน
11. หนังสือ ที่ มท 0313.5/(ไม่ระบุ) ลงวันที่ 23 เมษายน 2522 เรื่องการคำนวณค่ารายปีและการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดิน นอกเหนือคำแนะนำอื่น ๆ ให้การกำหนดค่าเช่าที่ดินที่เป็นส่วนควบต้องมีอัตราไม่น้อยกว่า ที่จัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่ (ภบท.1)
จำนวนการดูหน้าเว็บรวม
วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2557
การนับจำนวนป้าย
มีหลายท่านถามมาว่า เข้ามาในInbox ประมาณว่าผู้ประกอบการนิยมทำป้ายสีด้าน มีลักษณะเป็นหลักกิโล(ขนาดใหญ่) บาง เป็นกล่องสีเหลี่ยมบ้าง จะคิดเป็นป้าย 1 ด้าน หรือ 4 ด้าน กรณีนี้เทียบเคียง
คำพิพากษาฎีกาที่1265/2519 ว่า "โจทก์ได้แสดงป้ายโฆษณาผลิตภัณฑ์สินค้าบนหลังคาตึก รวม 4 ป้ายโดยติดตั้งในลักษณะกล่องสี่เหลี่ยม มีอักษรภาษาไทยกับอักษรภาษาต่างประเทศปนกันอยู่ 3 ด้านส่วนอีกด้านหนึ่งมีแต่อักษรภาษาต่างประเทศ ไม่มีอักษรภาษาไทย ดังนี้ ป้ายทั้งสี่แม้จะติดต่อกัน แต่อยู่คนละด้าน เครื่องหมายหรืออักษรในแต่ละด้านเป็นอิสระจากกัน หานับเป็นป้ายเดียวกันไม่ ป้ายด้านที่ไม่อักษรภาษาไทยจึงเป็นป้ายประเภท (3) ตามบัญชีอัตราภาษีป้าย ท้ายพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. 2510"
"ประกอบ เจริญรัมย์"
คำพิพากษาฎีกาที่1265/2519 ว่า "โจทก์ได้แสดงป้ายโฆษณาผลิตภัณฑ์สินค้าบนหลังคาตึก รวม 4 ป้ายโดยติดตั้งในลักษณะกล่องสี่เหลี่ยม มีอักษรภาษาไทยกับอักษรภาษาต่างประเทศปนกันอยู่ 3 ด้านส่วนอีกด้านหนึ่งมีแต่อักษรภาษาต่างประเทศ ไม่มีอักษรภาษาไทย ดังนี้ ป้ายทั้งสี่แม้จะติดต่อกัน แต่อยู่คนละด้าน เครื่องหมายหรืออักษรในแต่ละด้านเป็นอิสระจากกัน หานับเป็นป้ายเดียวกันไม่ ป้ายด้านที่ไม่อักษรภาษาไทยจึงเป็นป้ายประเภท (3) ตามบัญชีอัตราภาษีป้าย ท้ายพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. 2510"
"ประกอบ เจริญรัมย์"
ภาษีโรงเรือนกับอาคารเช่า ค่าภาษีผู้เช่าต้องเป็นคนจ่าย
สอบถามเรื่องโรงเรือนกรณี ก.เป็นเจ้าของห้องเช่าให้ ข.เช่าเปิดร้านขายอาหารจะต้องจ่ายค่าโรงเรือนอย่างไรค่ะ ก.จะต้องจ่ายหรือ ข.จะต้องจ่าย
Witaya Tuijoy เคยบอกไปหลายครั้งแล้วครับ นักเรียนทั้งหลาย.....(ไม่ได้เป็นอาจารย์ แต่ไม่อยากให้เครียดน่ะ) เรื่องค่าภาษีโรงเรือนฯ อย่าไปดูในสัญญาเช่าว่าใครจ่ายครับ มันเป็นการตกลงกันระหว่างเจ้าของโรงเรือนกับผู้ชำระภาษี เราไม่เกี่ยวนะครับ เราเป็นผู้จัดเก็บเราต้องทำตามระเบียบ ซึ่งในหลักการ ภาษีโรงเรือนเขาให้เก็บจากเจ้าของโรงเรือนเป็นหลัก ซึ่งเคสนี้ ให้เก็บจาก ก. ส่วน ข. ก็ไปดูว่าเข้าตามข้อบัญญัติอะไรที่ท่านมีอยู่ ก็เก็บค่าธรรมเนียมตามข้อบัญญัตินั้นนะครับ...
Witaya Tuijoy ผู้เช่า เป็นผู้มีรายได้จากการให้เช่าโรงเรือน ภาษีโรงเรือนเก็บจากโรงเรือน ไม่ได้เก็บจากการมีรายได้จากการขายของ ซึ่งภาษีโรงเรือนนิยามไว้ใน มาตรา ๔๐ ค่าภาษีนั้น ท่านให้เจ้าของทรัพย์สินเป็นผู้เสีย ในระเบียบไม่ได้บอกไว้เป็นอย่างอื่น เราก็ยึดตามระเบียบเป็นหลัก
-- ส่วนเรื่อง เจ้าของไม่จ่ายนั้น ขอให้เขาไล่เบี้ยกันเองระหว่าง ผู้เช่า กับ ผู้ให้เช่า ถ้าไม่จ่าย การดำเนินการเรียกเก็บ และการดำเนินคดี เป็นการดำเนินการกับเจ้าของโรงเรือนเป็นหลัก ซึ่งผู้เช่าจะไม่โดนในเรื่องนี้ ฉะนั้นการแจ้งประเมิน ต่าง ๆ แจ้งไปที่เจ้าของเป็นหลัก ให้เขาไปไล่เบี้ยกันเองครับป๋ม...
Ltax Gis ขอเพิ่มเติมนิดหนึ่ง อันว่าสัญญานั้นมีผลผูกพันคู่สัญญา ที่จะบังคับกันตามกฎหมายหากคู่สัญญาผิดสัญญา สรุปคือไม่ผูกพันกับบุคคลที่สาม ดังนั้นในกรณีนี้ สัญญานั้นจะใช้บังคับระหว่าง ก กับ ข เท่านั้นไม่มีผลใช้บังคับถึง อปท.ครับ
Witaya Tuijoy สรรพากรบอกว่า ...
1. ผู้ให้เช่า มีเงินได้จากการให้เช่าพื้นที่ ผู้ให้เช่า จึงเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีโรงเรือนจากเงินได้ดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 เมื่อปรากฏว่า ผู้ให้เช่าเรียกเก็บค่าภาษีโรงเรือนดังกล่าวจากผู้เช่าตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญา ค่าภาษีโรงเรือนที่ผู้ให้เช่า เรียกเก็บจากผู้เช่า จึงเข้าลักษณะเป็นเงินหรือประโยชน์ที่ได้รับเนื่องจากการให้เช่าทรัพย์สิน ตามมาตรา 40(5)(ก) แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ให้เช่าจึงต้องนำค่าภาษีโรงเรือนดังกล่าวไปรวมเป็นรายได้ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตาม มาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร
2. กรณีผู้ให้เช่า จ่ายค่าภาษีโรงเรือน หากผู้ให้เช่า สามารถพิสูจน์ได้โดยชัดแจ้งว่าเป็นผู้จ่าย และเป็นรายจ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกิจการ ผู้ให้เช่า มีสิทธินำมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (13) แห่งประมวลรัษฎากร
Witaya Tuijoy เคยบอกไปหลายครั้งแล้วครับ นักเรียนทั้งหลาย.....(ไม่ได้เป็นอาจารย์ แต่ไม่อยากให้เครียดน่ะ) เรื่องค่าภาษีโรงเรือนฯ อย่าไปดูในสัญญาเช่าว่าใครจ่ายครับ มันเป็นการตกลงกันระหว่างเจ้าของโรงเรือนกับผู้ชำระภาษี เราไม่เกี่ยวนะครับ เราเป็นผู้จัดเก็บเราต้องทำตามระเบียบ ซึ่งในหลักการ ภาษีโรงเรือนเขาให้เก็บจากเจ้าของโรงเรือนเป็นหลัก ซึ่งเคสนี้ ให้เก็บจาก ก. ส่วน ข. ก็ไปดูว่าเข้าตามข้อบัญญัติอะไรที่ท่านมีอยู่ ก็เก็บค่าธรรมเนียมตามข้อบัญญัตินั้นนะครับ...
Witaya Tuijoy ผู้เช่า เป็นผู้มีรายได้จากการให้เช่าโรงเรือน ภาษีโรงเรือนเก็บจากโรงเรือน ไม่ได้เก็บจากการมีรายได้จากการขายของ ซึ่งภาษีโรงเรือนนิยามไว้ใน มาตรา ๔๐ ค่าภาษีนั้น ท่านให้เจ้าของทรัพย์สินเป็นผู้เสีย ในระเบียบไม่ได้บอกไว้เป็นอย่างอื่น เราก็ยึดตามระเบียบเป็นหลัก
-- ส่วนเรื่อง เจ้าของไม่จ่ายนั้น ขอให้เขาไล่เบี้ยกันเองระหว่าง ผู้เช่า กับ ผู้ให้เช่า ถ้าไม่จ่าย การดำเนินการเรียกเก็บ และการดำเนินคดี เป็นการดำเนินการกับเจ้าของโรงเรือนเป็นหลัก ซึ่งผู้เช่าจะไม่โดนในเรื่องนี้ ฉะนั้นการแจ้งประเมิน ต่าง ๆ แจ้งไปที่เจ้าของเป็นหลัก ให้เขาไปไล่เบี้ยกันเองครับป๋ม...
Ltax Gis ขอเพิ่มเติมนิดหนึ่ง อันว่าสัญญานั้นมีผลผูกพันคู่สัญญา ที่จะบังคับกันตามกฎหมายหากคู่สัญญาผิดสัญญา สรุปคือไม่ผูกพันกับบุคคลที่สาม ดังนั้นในกรณีนี้ สัญญานั้นจะใช้บังคับระหว่าง ก กับ ข เท่านั้นไม่มีผลใช้บังคับถึง อปท.ครับ
Witaya Tuijoy สรรพากรบอกว่า ...
1. ผู้ให้เช่า มีเงินได้จากการให้เช่าพื้นที่ ผู้ให้เช่า จึงเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีโรงเรือนจากเงินได้ดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 เมื่อปรากฏว่า ผู้ให้เช่าเรียกเก็บค่าภาษีโรงเรือนดังกล่าวจากผู้เช่าตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญา ค่าภาษีโรงเรือนที่ผู้ให้เช่า เรียกเก็บจากผู้เช่า จึงเข้าลักษณะเป็นเงินหรือประโยชน์ที่ได้รับเนื่องจากการให้เช่าทรัพย์สิน ตามมาตรา 40(5)(ก) แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ให้เช่าจึงต้องนำค่าภาษีโรงเรือนดังกล่าวไปรวมเป็นรายได้ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตาม มาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร
2. กรณีผู้ให้เช่า จ่ายค่าภาษีโรงเรือน หากผู้ให้เช่า สามารถพิสูจน์ได้โดยชัดแจ้งว่าเป็นผู้จ่าย และเป็นรายจ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกิจการ ผู้ให้เช่า มีสิทธินำมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (13) แห่งประมวลรัษฎากร
วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2557
ภาษีป้าย สถานตรวจสภาพรถเอกชน ตรอ.
ตลาดนัด กับภาษี
อบต. จะเก็บภาษีโรงเรือนที่ดินหรือภาษีบำรุงท้องที่จากเจ้าของที่ดินที่จัดตลาดนัดทุกสัปดาห์อบต.จะใช้ค่าเช่ามาเป็นฐานในการประเมินได้หรือไม่
คำตอบ
- ข้อเท็จจริง สภาพของตลาดนัดทั่วไป จะไม่มีโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างที่ก่อสร้างเป็นการถาวร
จะเป็นลักษณะขึงผ้าใบ เมื่อสิ้นวันก็รื้อถอนโยกย้ายไปท้องที่อื่นแล้ววนกลับมาใหม่ จึงไม่เข้าข่ายที่จะจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินได้ - เจ้าของที่ดินที่จัดทำตลาดนัด จึงต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่ กฎหมายกำหนดการจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่ให้ใช้ฐานราคาปานกลางของที่ดินที่ผู้ว่าราชการจังหวัด ปัจจุบันใช้ราคาปานกลางที่ดิน ปี พ.ศ.2521-2524
- การจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่จึงไม่สามารถใช้ราคาค่าเช่าในการคำนวณจัดเก็บภาษีได้
การนับระยะเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 193/1 การนับระยะเวลาทั้งปวง ให้บังคับตามบทบัญญัติแห่งลักษณะนี้ เว้นแต่จะมีกฎหมาย คำสั่งศาล ระเบียบข้อบังคับ หรือนิติกรรมกำหนดเป็นอย่างอื่น
มาตรา 193/2 การคำนวณระยะเวลา ให้คำนวณเป็นวัน แต่ถ้ากำหนดเป็นหน่วยเวลาที่สั้นกว่าวัน ก็ให้คำนวณตามหน่วยเวลาที่กำหนดนั้นมาตรา 193/3 ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นหน่วยเวลาที่สั้นกว่าวันให้เริ่มต้นนับในขณะที่เริ่มการนั้น
ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นวัน สัปดาห์ เดือนหรือปี มิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมเข้าด้วยกัน เว้นแต่จะเริ่มการในวันนั้นเองตั้งแต่เวลาที่ถือได้ว่าเป็นเวลาเริ่มต้นทำการงานกันตามประเพณีมาตรา 193/4 ในทางคดีความ ในทางราชการ หรือทางธุรกิจการค้าและอุตสาหกรรม วัน หมายความว่า เวลาทำการตามที่ได้กำหนดขึ้นโดยกฎหมาย คำสั่งศาล หรือระเบียบข้อบังคับ หรือเวลาทำการตามปกติของกิจการนั้น แล้วแต่กรณีมาตรา 193/5 ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นสัปดาห์ เดือนหรือปีให้คำนวณตามปีปฏิทิน
ถ้าระยะเวลามิได้กำหนดนับแต่วันต้นแห่งสัปดาห์ วันต้นแห่งเดือนหรือปี ระยะเวลาย่อมสิ้นสุดลงในวันก่อนหน้าจะถึงวันแห่งสัปดาห์ เดือนหรือปีสุดท้ายอันเป็นวันตรงกับวันเริ่มระยะเวลานั้น ถ้าในระยะเวลานับเป็นเดือนหรือปีนั้นไม่มีวันตรงกันในเดือนสุดท้าย ให้ถือเอาวันสุดท้ายแห่งเดือนนั้นเป็นวันสิ้นสุดระยะเวลามาตรา 193/6 ถ้าระยะเวลากำหนดเป็นเดือนและวัน หรือกำหนดเป็นเดือนและส่วนของเดือน ให้นับจำนวนเดือนเต็มก่อน แล้วจึงนับจำนวนวันหรือส่วนของเดือนเป็นวัน
ถ้าระยะเวลากำหนดเป็นส่วนของปี ให้คำนวณส่วนของปีเป็นเดือนก่อนหากมีส่วนของเดือน ให้นับส่วนของเดือนเป็นวัน
การคำนวณส่วนของเดือนตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้ถือว่าเดือนหนึ่งมีสามสิบวันมาตรา 193/7 ถ้ามีการขยายระยะเวลาออกไปโดยมิได้มีการกำหนดวันเริ่มต้นแห่งระยะเวลาที่ขยายออกไป ให้นับวันที่ต่อจากวันสุดท้ายของระยะเวลาเดิมเป็นวันเริ่มต้น
มาตรา 193/8 ถ้าวันสุดท้ายของระยะเวลาเป็นวันหยุดทำการตามประกาศเป็นทางการหรือตามประเพณี ให้นับวันที่เริ่มทำการใหม่ต่อจากวันที่หยุดทำการนั้นเป็นวันสุดท้ายของระยะเวลา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8659/2548
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้จำเลยฟังในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2547 จำเลยต้องยื่นอุทธรณ์ภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 วรรคหนึ่ง ซึ่งการนับระยะเวลาเริ่มต้นต้องนับวันรุ่งขึ้นเป็นวันแรกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/3 วรรคสอง โดยเริ่มนับแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2547 ส่วนวันครบกำหนดยื่นอุทธรณ์นั้น ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/5 เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2547 มิได้เป็นวันต้นแห่งเดือนกำหนดระยะเวลาเป็นเดือนจึงไม่อาจคำนวณตามปีปฏิทินได้ ระยะเวลาสิ้นสุดย่อมเป็นวันที่ 18 มีนาคม 2547 ซึ่งเป็นวันก่อนหน้าจะถึงวันแห่งเดือนสุดท้ายอันเป็นวันตรงกับวันเริ่มระยะเวลา มิใช่ต้องนับระยะเวลาเดือนกุมภาพันธ์ 2547 มีกำหนด 11 วัน และเดือนมีนาคม 2547 มีกำหนด 19 วัน เป็น 30 วัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/6 วรรคหนึ่งและวรรคสาม เนื่องจากบทบัญญัติดังกล่าวเป็นการนับระยะเวลาที่กำหนดเป็นเดือนและวัน หรือกำหนดเป็นเดือนและส่วนของเดือน มิได้กำหนดระยะเวลาเป็นเดือน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8117/2548
ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกำหนดให้คิดดอกเบี้ยทุกวัน และกำหนดส่งเป็นรายเดือนทุกวันปิดบัญชีสิ้นเดือนของโจทก์ทุก ๆ เดือน ทั้งยังระบุให้โจทก์และจำเลยที่ 1 ปฏิบัติไปตามธรรมเนียมประเพณีของธนาคาร ดังนั้น การคิดดอกเบี้ยของโจทก์ทุกวันและกำหนดส่งเป็นรายเดือนทุกวันปิดบัญชีสิ้นเดือน จึงเป็นไปตามประเพณีของธนาคารตามข้อตกลงระหว่างคู่สัญญา อันเป็นการกำหนดการนับระยะเวลาโดยนิติกรรมตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/1 แม้วันสิ้นเดือนเป็นวันหยุดทำการ โจทก์ก็คิดหักทอนบัญชีเมื่อสิ้นเดือนได้โดยไม่ถือเอาวันเปิดทำการถัดไปเป็นวันปิดบัญชี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9266/2546
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2542 ครบกำหนดยื่นอุทธรณ์ในวันที่ 23 พฤษภาคม 2542 ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์หยุดราชการ วันที่ 24 พฤษภาคม2542 โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์มีกำหนด 15 วัน โจทก์ย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาในวันที่เริ่มทำการใหม่ได้ แต่การนับระยะเวลาที่ขอขยายออกไปก็ต้องนับต่อจากวันสุดท้ายที่ครบกำหนดระยะเวลาเดิมคือเริ่มนับหนึ่งตั้งแต่วันที่ 24พฤษภาคม 2542 หากศาลชั้นต้นขยายระยะเวลาตามที่โจทก์ต้องการเพียง 15 วัน ก็จะครบกำหนดในวันที่ 7 มิถุนายน 2542 มิใช่วันที่ 8 มิถุนายน 2542 และการขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นมีอำนาจทั่วไปที่จะอนุญาตขยายให้เท่าใดก็ได้ตามเหตุผลที่เห็นสมควร โดยไม่จำเป็นที่ศาลจะต้องระบุเหตุผลไว้ในคำสั่งอนุญาตขยายระยะเวลานั้น ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ยื่นอุทธรณ์ได้ถึงวันที่ 18 มิถุนายน 2542 จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1551/2546
การนับระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นรอการลงโทษให้แก่จำเลยจนถึงวันที่จำเลยกระทำความผิดในคดีหลัง เพื่อนำโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษในคดีหลังตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 หาใช่เป็นการติดต่อราชการตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/4 ไม่ การนับระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันที่ 20 มีนาคม 2542 จะต้องไปครบ 1 ปี ในวันที่ 20 มีนาคม 2543 เวลา 24 นาฬิกาอันเป็นการนับวันเวลาตามปกตินั่นเอง จำเลยกระทำผิดในวันที่ 20มีนาคม 2543 เวลา 19.45 นาฬิกา จึงบวกโทษจำคุกในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลังได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2981/2545
ครบกำหนดยื่นอุทธรณ์วันที่ 5 ธันวาคม 2541 จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ออกไปอีก 20 วัน นับแต่วันครบอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นอนุญาตตามขอ การนับระยะเวลาที่ขอขยายออกไปจึงต้องนับจากวันครบกำหนดระยะเวลาเดิมคือต่อจากวันที่5 โดยเริ่มต้นนับตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2541 เป็นต้นไปโดยไม่ต้องคำนึงว่าวันที่ 6,7และ 8 ธันวาคม 2541 จะตรงกับวันหยุดทำการหรือไม่เพราะวันดังกล่าวไม่ใช่วันสุดท้ายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/8 เมื่อเริ่มนับระยะเวลาอุทธรณ์ที่ขอขยายครั้งแรกคือวันที่ 6 ธันวาคม 2541 จะครบกำหนด 20 วัน ในวันที่ 25 ธันวาคม2541 จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ครั้งที่ 2 และศาลชั้นต้นอนุญาตให้ 10วัน นับถัดจากวันครบกำหนดที่อนุญาตครั้งแรก การนับระยะเวลาที่ขยายออกไปในครั้งหลังจึงต้องนับตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2541 เป็นต้นไป ซึ่งจะครบกำหนด 10 วัน ในวันที่ 4 มกราคม 2542 จำเลยยื่นอุทธรณ์วันที่ 6 มกราคม 2542 จึงเกินกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ที่ศาลชั้นต้นสั่งขยายให้แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2942/2545
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับวิธีการนับระยะเวลาไว้เป็นพิเศษ การนับระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 1 ลักษณะ 5 เรื่องระยะเวลาอันเป็นบทบัญญัติทั่วไป โจทก์ได้รับทราบคำสั่งของจำเลยในฐานะพนักงานตรวจแรงงานในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2544 โจทก์มีสิทธินำคดีไปสู่ศาลภายใน 30 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งโดยต้องเริ่มนับระยะเวลาดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544 เป็นต้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/3 วรรคสอง และจะครบกำหนด 30 วัน ในวันที่ 10 มีนาคม 2544 ซึ่งตรงกับวันเสาร์อันเป็นวันหยุดราชการ โจทก์จึงมีสิทธินำคดีขึ้นสู่ศาลภายในวันที่ 12 มีนาคม 2544 อันเป็นวันเปิดราชการในวันแรกได้ตามมาตรา 193/8 การที่โจทก์ฟ้องคดีต่อศาลแรงงานกลางในวันที่ 12มีนาคม 2544 ถือว่าโจทก์นำคดีไปสู่ศาลภายในระยะเวลาที่พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 125 วรรคหนึ่ง กำหนดไว้แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6756/2544
แม้จำเลยจะเข้าใจผิดว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 2749ที่จำเลยซื้อมาตั้งแต่ปี 2472 ก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ที่ดินแปลงดังกล่าว จึงไม่ใช่การครอบครองที่ดินของตนเองอันจะอ้างครอบครองปรปักษ์ไม่ได้ เมื่อจำเลยครอบครองที่ดินซึ่งเป็นของโจทก์อันเป็นการครอบครองที่ดินของผู้อื่น ลักษณะครอบครองของจำเลยแสดงออกโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเป็นเวลานานกว่า10 ปีแล้ว จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 และการนับระยะเวลาครอบครองนั้นนับตั้งแต่เวลาที่จำเลยเข้ายึดถือครอบครองที่ดินตลอดมา หาใช่นับแต่วันที่ทำการรังวัดแล้วทราบว่าครอบครองที่ดินสลับแปลงกันไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5652/2540
คำว่า "ลักษณะนี้" ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/1 ว่าด้วย การนับระยะเวลาคือลักษณะ 5 ของบรรพ 1 ซึ่งว่าด้วยหลักทั่วไป มิได้ใช้บังคับเฉพาะเรื่องนิติกรรม แต่ใช้บังคับในการออกหมายบังคับคดีด้วย แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 273 วรรคสามจะได้บัญญัติว่า ระยะเวลาในคำบังคับให้เริ่มนับแต่วันที่ได้ส่งคำบังคับหรือข้อความท้ายคำบังคับที่ระบุให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 7 วัน นับแต่วันได้รับคำบังคับก็ไม่อาจถือว่าเป็นข้อยกเว้นที่จะต้องนับระยะเวลาในวันแรกรวมเข้าด้วย ต้องนับระยะเวลาตั้งแต่วันรุ่งขึ้นจากวันปิดคำบังคับ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 276 วรรคหนึ่งมีเจตนารมณ์เพื่อให้เวลาแก่ลูกหนี้ที่จะปฏิบัติการชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ หากยังอยู่ในระยะเวลาดังกล่าวศาลก็จะยังไม่ออกหมายบังคับคดี แม้วันสุดท้ายแห่งระยะเวลาจะเป็นวันหยุดราชการซึ่งตามปกติธนาคารโจทก์จะหยุดทำการ ทำให้จำเลยไม่สามารถติดต่อกับโจทก์ได้ แต่วันเปิดทำการในวันจันทร์และหลังจากนั้นจำเลยก็ไม่ได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่โจทก์ดังนี้ ที่ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีในวันเปิดทำการดังกล่าวแม้จะออกเร็วไป 1 วัน แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีก็มิได้ไปดำเนินการบังคับคดีเอาแก่จำเลยในวันที่ออกหมายบังคับคดีแต่ไปดำเนินการบังคับคดีเมื่อกำหนดเวลาตามคำบังคับได้ล่วงพ้นไปแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนหมายบังคับคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2226/2540
จำเลยต้องรับผิดชำระเงินค่าปรับให้แก่โจทก์ การที่โจทก์ได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยนำเงินค่าปรับจำนวนดังกล่าวมาชำระให้แก่โจทก์ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือนั้น โดยจำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน2535 ถือไม่ได้ว่าการที่โจทก์แจ้งจำเลยเช่นนั้นแต่เพียงฝ่ายเดียวเป็นนิติกรรมกำหนดการนับระยะเวลาเป็นอย่างอื่นตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/1 การนับระยะเวลา 15 วัน ในกรณีนี้จึงต้องนับตามมาตรา 193/3 วรรคสองซึ่งห้ามมิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมเข้าด้วยกันเว้นแต่จะเริ่มการในวันนั้นเองตั้งแต่เวลาที่ถือได้ว่าเป็นเวลาเริ่มต้นทำการงานกันตามประเพณี เมื่อไม่ปรากฎว่าจำเลยได้รับหนังสือตั้งแต่เวลาใด จึงถือไม่ได้ว่าได้เริ่มการอะไรในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2535 นั้นตั้งแต่เวลาอันเป็นกำหนดเริ่มต้นทำการงานกันตามประเพณีต้องห้ามมิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมคำนวณเข้าด้วย การนับระยะเวลา 15 วัน ตามหนังสือดังกล่าวจึงต้องเริ่มนับหนึ่งในวันรุ่งขึ้นคือวันที่1 ธันวาคม 2535 และครบกำหนด 15 วัน ในวันที่ 15 ธันวาคม 2535จำเลยจึงต้องชำระเงินค่าปรับให้แก่โจทก์ภายใน 15 ธันวาคม 2535เมื่อจำเลยไม่ชำระเงินค่าปรับให้แก่โจทก์ภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดซึ่งโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีตามมาตรา 224แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2535เป็นต้นไป
ที่มา เขียนโดย Vakin Youngchoay
วันศุกร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2557
เรื่องค่าปรับไม่ยื่นแบบ กับ เงินเพิ่มชำระภาษีเกิน 30 วัน ภาษีโรงเรือนและที่ดิน
คำถามของเพื่อนในชมรม(แดง เปิ้ล)มีอยู่ว่า
ขอเรียนถามนะคะ ผู้ประกอบการยื่นแบบ 28 ก.พ. 57 มาชำระวันที่ 3 เม.ย. 57 คิดค่าปรับ 1 หรือ 2 เดือน คะ
คำตอบของท่านสุรศักดิ์
ให้ เรียบเรียงความคิดใหม่ให้เป็นขั้นตอนแบบนี้นะครับ
1.ยื่นแบบ (ภายใน เดือน ก.พ.ของทุกปี)
2.แจ้งการประเมิน (โดยไม่ชักช้า,โดยเร็ว )
3.ชำระค่าภาษี (ภายใน 30 วันนับถัดจากวันที่ได้รับแจ้งการประเมิน)
ส่วนมากนักจัดเก็บรุ่นใหม่ มักจะตกม้าตายเพราะลืมขั้นตอนการแจ้งประเมิน ค่าปรับใช้กรณีเดียว คือ ไม่ยื่นแบบฯภายในกำหนด จะเกินกำหนดกี่เดือนก็เปรียบเทียบปรับได้ไม่เกิน 200 บาทต่อปีภาษี เงินเพิ่มใช้กับกรณีไม่ชำระค่าภาษีภายในกำหนด จะอยู่ในช่วง 2.5-10 % ฉะนั้น เพื่อป้องกันความสับสน ให้ถามตัวเองว่าผู้รับประเมินได้รับแจ้งการประเมินเมื่ิอไหร่ เหมือนกับการสร้างหมุด restore point
แดง เปิ้ลตอบ แจ้ง ประเมินแล้วค่ะ คือประเมินภาษีในวันที่ 28 ก.พ.57 แล้ว แต่มาชำระภาษี 3 เม.ย. 57 ไม่เข้าใจว่าเงินเพิ่ม นับเดือนที่ 1 จากวันที่ 31 มี.ค 57 ใช่หรือไม่คะ ขอบคุณค่ะ
คำตอบของท่านสุรศักดิ์
กรณี นี้ วันสุดท้ายของการชำระโดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม คีอ 30 มีนาคม 2557 แต่เนื่องจากวันที่ 30 มีนา ตรงกับวันหยุดราชการ ต้องเลื่อนกำหนดชำระให้จนถึงวันทำการแรก คือ 31 มีนา ฉะนั้น การชำระภาษี ในวันที่ 3 เมษา 2557 จนท.ต้องเรียกเงินเพิ่มร้อยละ 2.5 ของค่าภาษี ข้อพึงระวัง คือ.-
--ช่วงที่ 1 นับถัดจากวันรับแจ้ง 30 วัน
--ช่วงที่ 2 นับ 1 เดือน (เงินเพิ่ม 2.5)
--ช่วงที่ 3-5 นับเป็นเดือน
การนับเป็นเดือนกับนับ 30 วันแตกต่างกันอย่างไร ให้ศึกษา ปพพ.เพิ่มเติม
ขอเรียนถามนะคะ ผู้ประกอบการยื่นแบบ 28 ก.พ. 57 มาชำระวันที่ 3 เม.ย. 57 คิดค่าปรับ 1 หรือ 2 เดือน คะ
คำตอบของท่านสุรศักดิ์
ให้ เรียบเรียงความคิดใหม่ให้เป็นขั้นตอนแบบนี้นะครับ
1.ยื่นแบบ (ภายใน เดือน ก.พ.ของทุกปี)
2.แจ้งการประเมิน (โดยไม่ชักช้า,โดยเร็ว )
3.ชำระค่าภาษี (ภายใน 30 วันนับถัดจากวันที่ได้รับแจ้งการประเมิน)
ส่วนมากนักจัดเก็บรุ่นใหม่ มักจะตกม้าตายเพราะลืมขั้นตอนการแจ้งประเมิน ค่าปรับใช้กรณีเดียว คือ ไม่ยื่นแบบฯภายในกำหนด จะเกินกำหนดกี่เดือนก็เปรียบเทียบปรับได้ไม่เกิน 200 บาทต่อปีภาษี เงินเพิ่มใช้กับกรณีไม่ชำระค่าภาษีภายในกำหนด จะอยู่ในช่วง 2.5-10 % ฉะนั้น เพื่อป้องกันความสับสน ให้ถามตัวเองว่าผู้รับประเมินได้รับแจ้งการประเมินเมื่ิอไหร่ เหมือนกับการสร้างหมุด restore point
แดง เปิ้ลตอบ แจ้ง ประเมินแล้วค่ะ คือประเมินภาษีในวันที่ 28 ก.พ.57 แล้ว แต่มาชำระภาษี 3 เม.ย. 57 ไม่เข้าใจว่าเงินเพิ่ม นับเดือนที่ 1 จากวันที่ 31 มี.ค 57 ใช่หรือไม่คะ ขอบคุณค่ะ
คำตอบของท่านสุรศักดิ์
กรณี นี้ วันสุดท้ายของการชำระโดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม คีอ 30 มีนาคม 2557 แต่เนื่องจากวันที่ 30 มีนา ตรงกับวันหยุดราชการ ต้องเลื่อนกำหนดชำระให้จนถึงวันทำการแรก คือ 31 มีนา ฉะนั้น การชำระภาษี ในวันที่ 3 เมษา 2557 จนท.ต้องเรียกเงินเพิ่มร้อยละ 2.5 ของค่าภาษี ข้อพึงระวัง คือ.-
--ช่วงที่ 1 นับถัดจากวันรับแจ้ง 30 วัน
--ช่วงที่ 2 นับ 1 เดือน (เงินเพิ่ม 2.5)
--ช่วงที่ 3-5 นับเป็นเดือน
การนับเป็นเดือนกับนับ 30 วันแตกต่างกันอย่างไร ให้ศึกษา ปพพ.เพิ่มเติม
วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557
การพิจารณาการประเมินใหม่ (ภาษีโรงเรือนฯ)
- การพิจารณาการประเมินใหม่
(1) เมื่อผู้รับประเมินไม่พอใจการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ จะต้องยื่นคำร้องขอให้คณะเทศมนตรี คณะกรรมการบริหารองค์การบริหารส่วนตำบล คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ องค์การบริหารส่วนจังหวัด/ส่วนอำเภอ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์กรุงเทพมหานคร และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เมืองพัทยาพิจารณาการประเมินนั้นใหม่ โดยใช้แบบพิมพ์ ภ.ร.ด.9 ให้เทศบาล สุขาภิบาล องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยารับคำร้องนั้น ทุกกรณีไม่ว่าจะมายื่นคำร้องภายในกำหนดเวลาตามกฎหมายหรือไม่ เมื่อรับคำร้องแล้วต้องลงทะเบียนรับทันทีแล้ว เสนอผู้มีหน้าที่ตามลำดับถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่นโดยไม่ชักช้า
(2) ถ้าผู้รับประเมินได้ยื่นคำร้องขอให้ยกเว้น ขอให้ปลดหรือลดค่าภาษี ตามาตรา 9 มาตรา 10 มาตรา 11 มาตรา 12 และมาตรา 13 โดยได้ยื่นคำร้องต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วตามมาตรา 33 แต่พนักงานเจ้าหน้าที่พิจารณาไม่ยกเว้นไม่ปลดภาษีหรือไม่ลดภาษีตามที่ร้องขอผู้รับประเมินมีสิทธิยื่นคำร้อง ให้คณะผู้บริหารเทศบาล สุขาภิบาล องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยาพิจารณาใหม่ได้เช่นเดียวกันกับการร้องขอให้ประเมินใหม่ และให้เทศบาล สุขาภิบาล องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยาปฏิบัติเช่นเดียวกัน
การพิจารณา
(1) ให้คณะผู้บริหารท้องถิ่น พิจารณาในขั้นแรกว่าคำร้องที่ผู้ประเมินยื่นต่อเทศบาล สุขาภิบาล องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยาตามข้อ (6) นั้น ได้ยื่นภายใน 15 วัน นับแต่วันรับแจ้งการประเมินหรือไม่ หากยื่นภายในกำหนดเวลาดังกล่าว จึงพิจารณาต่อไปได้ หากไม่ยื่นภายในเวลาที่กำหนด ให้คณะผู้บริหารท้องถิ่นมีหนังสือแจ้งไปยังผู้รับประเมินว่าหมดสิทธิที่จะให้พิจารณาการประเมินใหม่
(2) ถ้าผู้รับประเมินได้ยื่นคำร้องภายในกำหนดเวลา คณะผู้บริหารท้องถิ่น พิจารณาแยกคำร้องนั้นเป็น 2 พวก คือ
(2.1) คำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ ที่เห็นว่าการคำนวณคารายปีของพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ถูกต้อง ให้คณะกรรมการพิจารณากำหนดค่ารายปีใหม่โดยยึดถือหลักเกณฑ์การคำนวณค่ารายปีตามกฎหมาย (ค่ารายปีคือ จำนวนเงินซึ่งทรัพย์สินนั้นสมควรให้เช่าได้ในปีหนึ่ง)
(2.2) คำร้องให้พิจารณาคำขอให้ยกเว้น ขอให้ปลดภาษี หรือขอลดค่าภาษีที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้พิจารณาแล้ว แต่ผู้รับประเมินยังไม่พอใจ ให้คณะผู้บริหารท้องถิ่นพิจารณาว่าทรัพย์สินของผู้รับประเมินอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะได้รับยกเว้น ได้รับการปลดภาษี หรือได้รับการลดค่าภาษี ตามความในมาตรา 9 ถึง มาตรา 13 แห่ง พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือน ฯ หรือไม่ ถ้าอยู่ในหลักเกณฑ์จึงพิจารณาว่าสมควรได้รับการยกเว้นหรือปลดภาษี หรือลดค่าภาษีเท่าใด
(3) กรณีที่ผู้รับประเมินไม่ได้ยื่นคำร้องขอให้ยกเว้น ขอให้ปลดภาษีหรือขอลดค่าภาษีต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะไม่มีสิทธิร้องขอให้คณะผู้บริหารท้องถิ่นพิจารณาให้ยกเว้นหรือปลดภาษี หรือขอลดค่าภาษีเพราะเหตุตามมาตรา 9 ถึง มาตรา 13
ทั้งนี้หากผู้ชำระภาษีมายื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ เจ้าหน้าที่ควรรับไว้พิจารณา (ไม่ควรที่จะไม่รับคำร้อง) ผลการพิจารณาเป็นอย่างไร แจ้งไปตามขั้นตอน การพิจารณาประเมินใหม่หากยืนยันผลตามเดิม ก็แจ้งให้ผู้ชำระภาษีทราบ
แอดมิน"วิทยา"
สิ่งต่อไปนี้เป็นอำนาจหน้าที่ที่ อปท.มีอยู่ในมือ ควรใช้ให้เป็นประโยชน์ (ภาษีโรงเรือน)
สิ่งต่อไปนี้เป็นอำนาจหน้าที่ที่ อปท. มีในมือแล้ว..ควรใช้ให้เป็นประโยชน์
(1) ผู้รับประเมินที่ไม่ยื่นแบบแจ้งรายการทรัพย์สินภายในกำหนดเวลา ที่เทศบาล สุขาภิบาล องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยาประกาศ เป็นผู้มีความรับผิดชอบตามมาตรา 20 และมีโทษตามมาตรา 46 เทศบาล สุขาภิบาล องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ในฐานะผู้เสียหาย ต้องไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนเรียกตัวผู้กระทำผิดมาสอบสวนดำเนินคดี
(2) ผู้รับประเมินที่จงใจละเลย ไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกของพนักงานเจ้าหน้าที่ ไม่แจ้งรายการรายละเอียดเมื่อเรียกร้อง ไม่นำพยานหลักฐานมาแสดง หรือไม่ตอบคำถามเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ซักถาม
(3) ผู้ใดยื่นข้อความเท็จ ให้ถ้อยคำเท็จ แสดงพยานหลักฐานเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงหรือหาทางให้ผู้อื่นหลีกเลี่ยงค่ารายปี และผู้ใดโดยความเท็จ โดยเจตนาละเลยโดยฉ้อโกง โดยกลอุบาย โดยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่จะหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการคำนวณค่ารายปี มีความผิดและต้องรับโทษตามมาตรา 48 ให้ดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนเรียกตัวผู้กระทำผิดมาสอบสวนดำเนินคดี
(4) ความผิดตาม พ.ร.บ. ภาษีโรงเรือนฯ นี้เป็นความผิดต่ออาญาแผ่นดิน และเป็นความผิดที่ไม่อาจยอมความได้ เทศบาล สุขาภิบาล องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยาต้องไปร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครองภายในอายุความฟ้องร้องทุกรายโดยหัวหน้าผู้บริหารท้องถิ่น
(5) ความผิดตามมาตรา 20, 21 และ 22 ซึ่งกำหนดโทษปรับไม่เกิน 200 บาท และ 500 บาท มีอายุความ 1 ปี
(6) ความผิดดังระบุไว้ในมาตรา 48 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 500 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ มีอายุความ 5 ปี
(7) แม้ว่าจะไม่สามารถดำเนินคดีอาญากับผู้ละเมิด พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนฯ ดังกล่าวข้างต้นได้ เนื่องมาจากคดีขาดอายุความหรือด้วยเหตุใดก็ตาม เทศบาล สุขาภิบาล องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยาก็สามารถดำเนินการคำนวณค่ารายปีและประเมินค่าภาษีต่อไปได้เพราะการคำนวณค่ารายปี และการประเมินค่าภาษีไม่มีอายุความ
แอดมิน"วิทยา"
(1) ผู้รับประเมินที่ไม่ยื่นแบบแจ้งรายการทรัพย์สินภายในกำหนดเวลา ที่เทศบาล สุขาภิบาล องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยาประกาศ เป็นผู้มีความรับผิดชอบตามมาตรา 20 และมีโทษตามมาตรา 46 เทศบาล สุขาภิบาล องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ในฐานะผู้เสียหาย ต้องไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนเรียกตัวผู้กระทำผิดมาสอบสวนดำเนินคดี
(2) ผู้รับประเมินที่จงใจละเลย ไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกของพนักงานเจ้าหน้าที่ ไม่แจ้งรายการรายละเอียดเมื่อเรียกร้อง ไม่นำพยานหลักฐานมาแสดง หรือไม่ตอบคำถามเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ซักถาม
(3) ผู้ใดยื่นข้อความเท็จ ให้ถ้อยคำเท็จ แสดงพยานหลักฐานเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงหรือหาทางให้ผู้อื่นหลีกเลี่ยงค่ารายปี และผู้ใดโดยความเท็จ โดยเจตนาละเลยโดยฉ้อโกง โดยกลอุบาย โดยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่จะหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการคำนวณค่ารายปี มีความผิดและต้องรับโทษตามมาตรา 48 ให้ดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนเรียกตัวผู้กระทำผิดมาสอบสวนดำเนินคดี
(4) ความผิดตาม พ.ร.บ. ภาษีโรงเรือนฯ นี้เป็นความผิดต่ออาญาแผ่นดิน และเป็นความผิดที่ไม่อาจยอมความได้ เทศบาล สุขาภิบาล องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยาต้องไปร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครองภายในอายุความฟ้องร้องทุกรายโดยหัวหน้าผู้บริหารท้องถิ่น
(5) ความผิดตามมาตรา 20, 21 และ 22 ซึ่งกำหนดโทษปรับไม่เกิน 200 บาท และ 500 บาท มีอายุความ 1 ปี
(6) ความผิดดังระบุไว้ในมาตรา 48 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 500 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ มีอายุความ 5 ปี
(7) แม้ว่าจะไม่สามารถดำเนินคดีอาญากับผู้ละเมิด พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนฯ ดังกล่าวข้างต้นได้ เนื่องมาจากคดีขาดอายุความหรือด้วยเหตุใดก็ตาม เทศบาล สุขาภิบาล องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยาก็สามารถดำเนินการคำนวณค่ารายปีและประเมินค่าภาษีต่อไปได้เพราะการคำนวณค่ารายปี และการประเมินค่าภาษีไม่มีอายุความ
แอดมิน"วิทยา"
การแจ้งรายการประเมิน(แบบ ภ.ร.ด.8)
(2) การแจ้งประเมิน ถ้าส่งให้ผู้รับประเมินด้วยตนเองหรือโดยเจ้าหน้าที่นำส่งจะต้องให้ผู้รับประเมินลงชื่อหรือรับทราบไว้เป็นหลักฐาน ถ้าส่งทางไปรษณีย์ให้ใช้แบบไปรษณีย์ตอบรับเป็นหลักฐาน
(3) ถ้าผู้รับประเมินไม่ยอมรับแบบแจ้งการประเมิน หรือไม่มีผู้รับตามภูมิลำเนาของผู้รับประเมินที่ปรากฏในหลักฐาน ให้เทศบาล สุขาภิบาล องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยาให้นิติกร ไปดำเนินการเช่นเดียวกับวิธีการปิดกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาความแพ่ง
(4) หลักฐานการรับแจ้งการประเมิน เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงว่าผู้รับประเมินได้ทราบว่าตนเองจะต้องไปชำระค่าภาษีภายใน 30 วัน นับถัดจากวันที่ได้รับแจ้งการประเมิน หรือจะต้องไปยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ภายใน 15 วันนับตั้งแต่วันได้รับแจ้งงการประเมิน จึงเป็นหน้าที่ของพนักงานเก็บภาษีที่จะต้องตรวจสอบและรักษาเอกสารดังกล่าวไว้ จนกว่าจะหมดความจำเป็น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)