คลังความรู้งานจัดเก็บรายได้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557

การพิจารณาการประเมินใหม่ (ภาษีโรงเรือนฯ)

  • การพิจารณาการประเมินใหม่
    (1) เมื่อผู้รับประเมินไม่พอใจการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ จะต้องยื่นคำร้องขอให้คณะเทศมนตรี คณะกรรมการบริหารองค์การบริหารส่วนตำบล คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ องค์การบริหารส่วนจังหวัด/ส่วนอำเภอ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์กรุงเทพมหานคร และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เมืองพัทยาพิจารณาการประเมินนั้นใหม่ โดยใช้แบบพิมพ์ ภ.ร.ด.9 ให้เทศบาล สุขาภิบาล องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยารับคำร้องนั้น ทุกกรณีไม่ว่าจะมายื่นคำร้องภายในกำหนดเวลาตามกฎหมายหรือไม่ เมื่อรับคำร้องแล้วต้องลงทะเบียนรับทันทีแล้ว เสนอผู้มีหน้าที่ตามลำดับถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่นโดยไม่ชักช้า

    (2) ถ้าผู้รับประเมินได้ยื่นคำร้องขอให้ยกเว้น ขอให้ปลดหรือลดค่าภาษี ตามาตรา 9 มาตรา 10 มาตรา 11 มาตรา 12 และมาตรา 13 โดยได้ยื่นคำร้องต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วตามมาตรา 33 แต่พนักงานเจ้าหน้าที่พิจารณาไม่ยกเว้นไม่ปลดภาษีหรือไม่ลดภาษีตามที่ร้องขอผู้รับประเมินมีสิทธิยื่นคำร้อง ให้คณะผู้บริหารเทศบาล สุขาภิบาล องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยาพิจารณาใหม่ได้เช่นเดียวกันกับการร้องขอให้ประเมินใหม่ และให้เทศบาล สุขาภิบาล องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยาปฏิบัติเช่นเดียวกัน 
    การพิจารณา
    (1) ให้คณะผู้บริหารท้องถิ่น พิจารณาในขั้นแรกว่าคำร้องที่ผู้ประเมินยื่นต่อเทศบาล สุขาภิบาล องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยาตามข้อ (6) นั้น ได้ยื่นภายใน 15 วัน นับแต่วันรับแจ้งการประเมินหรือไม่ หากยื่นภายในกำหนดเวลาดังกล่าว จึงพิจารณาต่อไปได้ หากไม่ยื่นภายในเวลาที่กำหนด ให้คณะผู้บริหารท้องถิ่นมีหนังสือแจ้งไปยังผู้รับประเมินว่าหมดสิทธิที่จะให้พิจารณาการประเมินใหม่

  • (2) ถ้าผู้รับประเมินได้ยื่นคำร้องภายในกำหนดเวลา คณะผู้บริหารท้องถิ่น พิจารณาแยกคำร้องนั้นเป็น 2 พวก คือ
          (2.1) คำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ ที่เห็นว่าการคำนวณคารายปีของพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ถูกต้อง ให้คณะกรรมการพิจารณากำหนดค่ารายปีใหม่โดยยึดถือหลักเกณฑ์การคำนวณค่ารายปีตามกฎหมาย (ค่ารายปีคือ จำนวนเงินซึ่งทรัพย์สินนั้นสมควรให้เช่าได้ในปีหนึ่ง)
          (2.2) คำร้องให้พิจารณาคำขอให้ยกเว้น ขอให้ปลดภาษี หรือขอลดค่าภาษีที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้พิจารณาแล้ว แต่ผู้รับประเมินยังไม่พอใจ ให้คณะผู้บริหารท้องถิ่นพิจารณาว่าทรัพย์สินของผู้รับประเมินอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะได้รับยกเว้น ได้รับการปลดภาษี หรือได้รับการลดค่าภาษี ตามความในมาตรา 9 ถึง มาตรา 13 แห่ง พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือน ฯ หรือไม่ ถ้าอยู่ในหลักเกณฑ์จึงพิจารณาว่าสมควรได้รับการยกเว้นหรือปลดภาษี หรือลดค่าภาษีเท่าใด

    (3) กรณีที่ผู้รับประเมินไม่ได้ยื่นคำร้องขอให้ยกเว้น ขอให้ปลดภาษีหรือขอลดค่าภาษีต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะไม่มีสิทธิร้องขอให้คณะผู้บริหารท้องถิ่นพิจารณาให้ยกเว้นหรือปลดภาษี หรือขอลดค่าภาษีเพราะเหตุตามมาตรา 9 ถึง มาตรา 13

    ทั้งนี้หากผู้ชำระภาษีมายื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ เจ้าหน้าที่ควรรับไว้พิจารณา (ไม่ควรที่จะไม่รับคำร้อง) ผลการพิจารณาเป็นอย่างไร แจ้งไปตามขั้นตอน การพิจารณาประเมินใหม่หากยืนยันผลตามเดิม ก็แจ้งให้ผู้ชำระภาษีทราบ

    แอดมิน"วิทยา"
เขียนโดย Buraki ที่ 06:45 1 ความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

สิ่งต่อไปนี้เป็นอำนาจหน้าที่ที่ อปท.มีอยู่ในมือ ควรใช้ให้เป็นประโยชน์ (ภาษีโรงเรือน)

สิ่งต่อไปนี้เป็นอำนาจหน้าที่ที่ อปท. มีในมือแล้ว..ควรใช้ให้เป็นประโยชน์

(1) ผู้รับประเมินที่ไม่ยื่นแบบแจ้งรายการทรัพย์สินภายในกำหนดเวลา ที่เทศบาล สุขาภิบาล องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยาประกาศ เป็นผู้มีความรับผิดชอบตามมาตรา 20 และมีโทษตามมาตรา 46 เทศบาล สุขาภิบาล องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ในฐานะผู้เสียหาย ต้องไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนเรียกตัวผู้กระทำผิดมาสอบสวนดำเนินคดี

(2) ผู้รับประเมินที่จงใจละเลย ไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกของพนักงานเจ้าหน้าที่ ไม่แจ้งรายการรายละเอียดเมื่อเรียกร้อง ไม่นำพยานหลักฐานมาแสดง หรือไม่ตอบคำถามเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ซักถาม

(3) ผู้ใดยื่นข้อความเท็จ ให้ถ้อยคำเท็จ แสดงพยานหลักฐานเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงหรือหาทางให้ผู้อื่นหลีกเลี่ยงค่ารายปี และผู้ใดโดยความเท็จ โดยเจตนาละเลยโดยฉ้อโกง โดยกลอุบาย โดยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่จะหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการคำนวณค่ารายปี มีความผิดและต้องรับโทษตามมาตรา 48 ให้ดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนเรียกตัวผู้กระทำผิดมาสอบสวนดำเนินคดี

(4) ความผิดตาม พ.ร.บ. ภาษีโรงเรือนฯ นี้เป็นความผิดต่ออาญาแผ่นดิน และเป็นความผิดที่ไม่อาจยอมความได้ เทศบาล สุขาภิบาล องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยาต้องไปร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครองภายในอายุความฟ้องร้องทุกรายโดยหัวหน้าผู้บริหารท้องถิ่น

(5) ความผิดตามมาตรา 20, 21 และ 22 ซึ่งกำหนดโทษปรับไม่เกิน 200 บาท และ 500 บาท มีอายุความ 1 ปี

(6) ความผิดดังระบุไว้ในมาตรา 48 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 500 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ มีอายุความ 5 ปี

(7) แม้ว่าจะไม่สามารถดำเนินคดีอาญากับผู้ละเมิด พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนฯ ดังกล่าวข้างต้นได้ เนื่องมาจากคดีขาดอายุความหรือด้วยเหตุใดก็ตาม เทศบาล สุขาภิบาล องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยาก็สามารถดำเนินการคำนวณค่ารายปีและประเมินค่าภาษีต่อไปได้เพราะการคำนวณค่ารายปี และการประเมินค่าภาษีไม่มีอายุความ

แอดมิน"วิทยา"
เขียนโดย Buraki ที่ 06:35 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

การแจ้งรายการประเมิน(แบบ ภ.ร.ด.8)

(1) การแจ้งรายการประเมินไปให้ผู้รับประเมินทราบ เป็นหน้าที่ของพนักงานเก็บภาษีโดยใช้แบบแจ้งรายการประเมิน ( ภ.ร.ด.8 ) และจะต้องแจ้งให้ผู้รับประเมินทราบทุกราย แม้ว่าผู้รับประเมินจะชำระค่าภาษีตามที่ประเมินในเวลายื่นแบบพิมพ์ทันทีก็ตาม

(2) การแจ้งประเมิน ถ้าส่งให้ผู้รับประเมินด้วยตนเองหรือโดยเจ้าหน้าที่นำส่งจะต้องให้ผู้รับประเมินลงชื่อหรือรับทราบไว้เป็นหลักฐาน ถ้าส่งทางไปรษณีย์ให้ใช้แบบไปรษณีย์ตอบรับเป็นหลักฐาน

(3) ถ้าผู้รับประเมินไม่ยอมรับแบบแจ้งการประเมิน หรือไม่มีผู้รับตามภูมิลำเนาของผู้รับประเมินที่ปรากฏในหลักฐาน ให้เทศบาล สุขาภิบาล องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยาให้นิติกร ไปดำเนินการเช่นเดียวกับวิธีการปิดกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาความแพ่ง

(4) หลักฐานการรับแจ้งการประเมิน เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงว่าผู้รับประเมินได้ทราบว่าตนเองจะต้องไปชำระค่าภาษีภายใน 30 วัน นับถัดจากวันที่ได้รับแจ้งการประเมิน หรือจะต้องไปยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ภายใน 15 วันนับตั้งแต่วันได้รับแจ้งงการประเมิน จึงเป็นหน้าที่ของพนักงานเก็บภาษีที่จะต้องตรวจสอบและรักษาเอกสารดังกล่าวไว้ จนกว่าจะหมดความจำเป็น
เขียนโดย Buraki ที่ 05:52 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557

การแจ้งการประเมิน ภรด.8 ของพนักงานเจ้าหน้าที่ จะทำอย่างไรไม่ให้เกิดปัญหาถูกคำพิพากษาให้ยกการประเมินนั้น และให้ทำการพิจารณาการประเมินใหม่

การแจ้งการประเมิน ภรด.8 ของพนักงานเจ้าหน้าที่ จะทำอย่างไรไม่ให้เกิดปัญหาถูกคำพิพากษาให้ยกการประเมินนั้น และให้ทำการพิจารณาการประเมินใหม่

การแจ้งการประเมิน ภรด.8 ของพนักงานเจ้าหน้าที่ จะทำอย่างไรไม่ให้เกิดปัญหาถูกคำพิพากษาให้ยกการประเมินนั้น และให้ทำการพิจารณาการประเมินใหม่
คำตอบ
การแจ้งการประเมิน ภรด.8 ของพนักงานเจ้าหน้าที่ ถือเป็นคำสั่งทางปกครอง การแจ้งคำสั่งทางปกครองเป็นหนังสือจึงต้องปฏิบัติตามมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 กำหนดให้ต้องจัดให้มีเหตุผลอย่างน้อยต้องประกอบด้วย (1) ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ (2) ข้อกฎหมายที่อ้างอิง
และ (3) ข้อพิจารณาและข้อสนับสนุนในการใช้ดุลยพินิจ และมาตรา 40 กำหนดให้ระบุกรณีที่อาจอุทธรณ์หรือโต้แย้ง และระยะเวลาสำหรับการอุทธรณ์หรือโต้แย้ง ตามหนังสือกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ที่ มท 0808.3 / ว 2417 ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2550 ได้ซักซ้อมแนวทางปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรม สามารถตรวจสอบได้ โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องแจ้งการประเมิน ภรด.8 และระบุข้อความเพิ่มเติมใน ภรด.8 ว่า “คำอธิบายประกอบการประเมินค่ารายปีตามเอกสารแนบท้าย”
โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
  1. กรณีมีรายการทรัพย์สินหลายรายการ หรือสามารถแยกประเภทของทรัพย์สินออกได้แต่ละประเภท ที่มีค่ารายปีแตกต่างกัน ให้ระบุ มีทรัพย์สินรายการใดหรือประเภทใดบ้างต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน
  2. ให้ระบุค่ารายปีของทรัพย์สินแต่ละประเภท และที่มาของค่ารายปีว่ามีที่มาอย่างไร เช่น คิดจากค่าเช่าโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้าง หรือคิดจากการเทียบเคียงกับค่าเช่าโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้าง หรือคิดจากค่าเช่ามาตราฐานกลางเฉลี่ยต่อตารางเมตร รวมทั้งการลดหย่อนค่ารายปีหรือค่าภาษี (ถ้ามี)
  3. ให้แสดงวิธีการคำนวณค่ารายปีและค่าภาษีโดยสังเขป
  4. ให้ระบุข้อกฎหมายที่ใช้ประกอบการประเมินค่ารายปี เช่น มาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์การประเมินค่ารายปีของทรัพย์สิน เป็นต้น รวมทั้งข้อกฎหมายในการลดหย่อนค่ารายปีหรือค่าภาษี (ถ้ามี) เช่น มาตรา 11 มาตรา 12 มาตรา 13 และมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475
  5. ให้แจ้งสิทธิอุทธรณ์หรือการขอให้การพิจารณาประเมินใหม่ ซึ่งต้องกระทำภายใน 15 วัน นัยตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมิน ตามมาตรา 25 และมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน
    พุทธศักราช 2475
  6. ดังนั้น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องถือปฏิบัติเมื่อมีการแจ้งการประเมิน ภรด.8 ทุกรายเจ้าของทรัพย์สิน


    ที่มา...http://www.tlg.rmutt.ac.th/
เขียนโดย Unknown ที่ 22:58 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2557

คำทวงติง จาก สตง. เรื่องค่าเช่ามาตรฐานกลางเฉลี่ยต่อตารางเมตร

คำทวงติง จาก สตง.

1.3.3 การกำหนดราคาค่าเช่ามาตรฐานกลางเฉลี่ยต่อตารางเมตร (ต่อเดือน)เพื่อใช้เป็นแนวทางประกอบการประเมินค่ารายปี ของทรัพย์สิน เพื่อคำนวณภาษีกรณีที่ไม่อาจหาค่าเช่าอันสมควรหรือหาค่าเช่าไม่ได้เนื่องจากเจ้าของประกอบกิจการเอง พบว่า
- ส่วนใหญ่มิได้กำหนดราคาค่าเช่ามาตรฐานกลางฯ
- กำหนดราคาค่าเช่ามาตรฐานกลางฯ แต่ไม่ครอบคลุมทุกประเภททรัพย์สินในพื้นที่รับผิดชอบของ อปท. เช่น บ่อบำบัดน้ำเสีย ลานคอนกรีต ถนนคอนกรีต สนามฟุตบอล ศาลา ป้อมยาม ถนนลาดยางแอสฟัลต์ สนามหญ้า ที่ดินที่ไม่มีการปรับปรุงสภาพ หรือปรับปรุงสภาพแล้วเป็นลานดิน เป็นต้น การปฏิบัติตามข้อมูลข้างต้น จะส่งผลต่อการประเมินค่ารายปี เพื่อคำนวณเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน (ตามหนังสือกระทรวงมหาดไทย ด่วนที่สุด ที่มท 0307/ว2393 ลว. 10 กันยายน 2536 เรื่อง ซักซ้อมแนวทางการจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดิน และการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2536)
1.3.4 การจัดเก็บรายได้ที่จัดเก็บเอง
- จัดเก็บรายได้ไม่ถูกต้องและครบถ้วน ตามกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ
หลักเกณฑ์ และหนังสือสั่งการที่เกี่ยวข้อง เช่น
(1) การจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดิน
(1.1) ประเภทโรงงานอุตสาหกรรม คำนวณค่ารายปีไม่ถูกต้อง
-โรงเรือนที่ติดตั้งส่วนควบเป็นเครื่องจักร (กรณีหาค่าเช่าไม่ได้) คำนวณเฉพาะโรงเรือนหรือโรงเรือนและราคาเครื่องจักรที่มิใช่มูลค่าเครื่องจักรสุทธิ โดยมิได้นำมูลค่าเครื่องจักรสุทธิและอัตราดอกเบี้ยสถาบันการเงินที่ให้ประโยชน์สูงสุด ณ เวลานั้น ๆ มาคำนวณเพื่อหาค่ารายปี ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 มาตรา 13 และหนังสือกรมการปกครอง ที่ มท 0313.5/ว 1771 ลงวันที่ 17 กรกฎาคม 2545 เรื่อง แนวทางปฏิบัติในการจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดิน35
- มิได้นำพื้นที่ใช้ประโยชน์อื่น/พื้นที่ต่อเนื่อง/ส่วนควบมาคำนวณค่ารายปี เช่นลานจอดรถ ลานคอนกรีต บ้านพักคนงาน สนามกีฬา บ่อบำบัดนํ้าเสีย โรงจอดรถ โรงนํ้าแข็ง ป้อมยาม เป็นต้น
(1.2) ประเภทหอพัก อพาร์เม้นท์ แมนชัน่ มิได้นำพื้นที่ประกอบธุรกิจต่างๆรวมเป็นค่ารายปี เพื่อคำนวณภาษีโรงเรือนฯ ที่ต้องชำระในแบบแจ้งรายการฯ (ภรด.2) เช่น ร้านเสริมสวย ร้าอินเตอร์เน็ท ร้านซักรีดอบ เป็นต้น
(1.3) ประเภทปั๊มน้ำมัน มิได้นำพื้นที่ต่อเนื่อง/ส่วนควบบางส่วนรวมเป็นค่ารายปี เช่น ลานคอนกรีต ห้องนํ้า บ้านพักคนงาน ถังพักนํ้า เป็นต้น
1.3.5 ลูกหนี้ประเภทภาษี
- จัดทำรายละเอียดผู้ชำระภาษี (กค.1) ไม่ถูกต้อง กล่าวคือ คัดรายชื่อเฉพาะผู้ที่มายื่นแบบแสดงรายการฯหรือผู้ชำระภาษีในปี ก่อน กค.1 ที่ถูกต้อง เป็ นการนำรายละเอียดผู้ที่อยู่ในข่ายต้องชำระภาษีจากทะเบียนคุมผู้ชำระภาษี(ผ.ท.5) โดยถือยอดเงินภาษีที่เคย
ประเมินปีล่าสุด (ตามระเบียบกรมการปกครองว่าด้วยการบันทึกบัญชีการจัดทำทะเบียน และรายงาน
เขียนโดย Buraki ที่ 06:36 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

การพิจารณาป้าย (ภาษีป้าย) อ.อวิรุท

การจะพิจารณาว่าป้ายอะไรที่ต้องเสียภาษีนั้นให้ดูคำนิยามตามพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ.2510 มาตรา 6 ที่บัญญัติว่า “ป้าย” หมายความว่า ป้ายแสดงชื่อ ยี่ห้อหรือเครื่องหมายที่ใช้ในการประกอบการค้าหรือประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้หรือโฆษณาการค้าหรือกิจการอื่นเพื่อหารายได้ ไม่ว่าจะได้แสดงหรือโฆษณาไว้ที่วัตถุใดๆ ด้วยอักษร ภาพ หรือเครื่องหมายที่เขียน แกะสลัก จารึกหรือทำให้ปรากฏด้วยวิธีอื่น และตามบัญชีอัตราภาษีป้าย ปัจจุบันใช้กฎกระทรวงฉบับที่ 5 (พ.ศ.2510) ที่ออกตามความในพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ.2510 ป้ายประเภท (2) คือป้ายที่มีอักษรไทยปนกับอักษร ต่างประเทศและหรือปนกับภาพและหรือเครื่องหมายอื่น ให้สังเกตคำว่า “เครื่องหมายอื่น” ให้ดีนะครับ เพราะกฎหมายไม่ได้เขียนไว้ว่าต้องเป็นเครื่องหมายการค้า เพราะคำว่าเครื่องหมายการค้า ต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 7 ที่บัญญัติว่า “เครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะบ่งเฉพาะ ได้แก่ เครื่องหมายการค้าอันมีลักษณะที่ทำให้ประชาชนหรือผู้ใช้สินค้านั้นทราบและเข้าใจได้ว่า สินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้านั้นแตกต่างไปจากสินค้าอื่น” แต่เนื่องจากมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7036/2540 วินิจฉัยว่า คำว่า เครื่องหมายนั้นตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายความว่า สิ่งที่ทำขึ้นแสดงความหมายเพื่อจดจำหรือกำหนดรู้ ดังนั้น ย่อมหมายถึงสิ่งใด ๆ ก็ได้ที่ทำขึ้นเพื่อแสดงความหมายนั้น ซึ่งตามรูปลักษณ์ที่จำเลยทำขึ้นที่แสดงความหมายถึงรูปหัวใจ หากไม่พินิจดูอย่างละเอียดแล้วก็ไม่อาจทราบได้ว่ารูปดังกล่าวประกอบด้วยตัวอักษร C และ D ประกบกันอยู่ เนื่องจากตัวอักษรทั้งสองมีลักษณะไม่เหมือนกับตัวอักษรต่างประเทศ C และ D โดยทั่วไป แต่เป็นการประดิษฐ์ขึ้นเพื่อแทนความหมายของรูปหัวใจ ซึ่งโจทก์ก็ยอมรับว่า เป็นสัญลักษณ์ในการประกอบการค้าของจำเลยอันมีความหมายทำนองเดียวกับคำว่าเครื่องหมายนั่นเองป้ายโฆษณาของจำเลยที่ใช้อักษรย่อว่า "CD" เขียนเป็นรูปลักษณะคล้ายหัวใจและมีข้อความเป็นภาษาอังกฤษว่า "CATHAY DEPARTMENT STORE" ทับข้อความภาษาไทยว่า "คาเธ่ย์ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์"และ"ซุปเปอร์มาร์เก็ตเปิดบริการ ถึง 4 ทุ่ม" ต่อท้ายอักษรย่อดังกล่าว จึงเป็นป้ายที่มีอักษรไทยปนกับอักษรต่างประเทศและเครื่องหมายอื่น ตามที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราภาษีป้ายประเภท (2) ท้ายพระราชบัญญัติป้าย พ.ศ.2510 โดยศาลฎีกาให้เหตุผลเกี่ยวกับอักษรย่อภาษาอังกฤษ "CD" เป็นเครื่องหมายหรืออักษรต่างประเทศ คำว่า เครื่องหมายนั้นตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. 2525 หมายความว่า สิ่งที่ทำขึ้นแสดงความหมายเพื่อจดจำหรือกำหนดรู้ ดังนั้นย่อมหมายถึงสิ่งใด ๆ ก็ได้ที่ทำขึ้นเพื่อแสดงความหมายนั้น ซึ่งตามรูปลักษณ์ที่จำเลยทำขึ้นดังภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.1 รูปที่ 15 และ 16 นั้น แสดงความหมายถึงรูปหัวใจหากไม่พินิจดูอย่างละเอียดแล้วก็ไม่อาจทราบได้ว่ารูปดังกล่าวประกอบด้วยตัวอักษร Cและ D ประกบกันอยู่ เนื่องจากตัวอักษรทั้งสองมีลักษณะไม่เหมือนกับตัวอักษรต่างประเทศ C และ D โดยทั่วไป แต่เป็นการประดิษฐ์ขึ้นเพื่อแทนความหมายของรูปหัวใจซึ่งตามคำฟ้องและคำเบิกความของนายเข็มชาติ เขมานุกรม พยานโจทก์ผู้เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่มีหน้าที่จัดเก็บรายได้ของโจทก์ก็ยอมรับว่า เป็นสัญลักษณ์ในการประกอบการค้าของจำเลยอันมีความหมายทำนองเดียวกับคำว่าเครื่องหมายนั่นเอง จากคำวินิจฉัยดังกล่าวจะเห็นได้ว่า คำว่า “เครื่องหมายอื่น” ไม่จำเป็นต้องเป็นเครื่องหมายการค้าที่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์หากแต่ได้ใช้เป็นสัญลักษณ์ในการประกอบการค้าก็จะถือว่า เป็นเครื่องหมายอื่นตามความหมายของป้ายประเภท 2
ปัญหาต่อไปมีว่าคำว่า “โค๊ก” เป็นเครื่องหมายหรือตัวอักษร สำหรับผมเองเห็นว่าเป็นตัวอักษรที่เขียนชื่อสินค้า ไม่ได้เป็นเครื่องหมายอะไรเลยเพราะไม่ได้มีการแสดงให้เห็นว่า เป็นการประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อแทนความหมายของคำว่า “โค๊ก” ประกอบกับคำว่า “เครื่องหมาย” ศาลฎีกาวินิจฉัยเคยวินิจฉัยไว้แล้วว่า ตามพจนานุกรม คำว่า “เครื่องหมายนั้นตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายความว่า สิ่งที่ทำขึ้นแสดงความหมายเพื่อจดจำหรือกำหนดรู้ ดังนั้น ย่อมหมายถึงสิ่งใด ๆ ก็ได้ที่ทำขึ้นเพื่อแสดงความหมายนั้น” ในเมื่อคำว่า “โค๊ก” เป็นการเขียนด้วยอักษรไทยและสามารถอ่านได้เลยโดยไม่ปรากฎว่าเป็นสิ่งที่ทำขึ้นเพื่อแสดงความหมาย แม้คำว่า “โค๊ก” ดังกล่าวจะได้จดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้าเพราะเป็นกลุ่มของสีที่แสดงโดยลักษณะพิเศษ หรือตัวหนังสือ ตัวเลข หรือคำที่ประดิษฐ์ขึ้น(พรบ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 7 (3) ) ก็ไม่น่าจะใช่คำว่า “เครื่องหมายอื่น” ตามที่บัญญัติในกฎกระทรวงฉบับที่ 5 (พ.ศ.2510) ที่ออกตามความในพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ.2510 ป้ายประเภท (2) คือป้ายที่มีอักษรไทยปนกับอักษร ต่างประเทศและหรือปนกับภาพและหรือเครื่องหมายอื่น
เลิกถูกใจ ·  · ประมาณ 1 ชั่วโมงที่แล้ว
  • คุณ, Supida Kongsrikuldilok และ คนอื่นอีก 11 คน ถูกใจสิ่งนี้
  • Awiruth Chanchaikittikorn ลองอ่านเล่นๆนะครับ ปัญหาที่ยังไม่ยอมจบ
    รูปภาพของ Awiruth Chanchaikittikorn
    ประมาณ 1 ชั่วโมงที่แล้ว · ถูกใจ · 2
  • Awiruth Chanchaikittikorn สรุปง่าย
    1. ป้ายประเภท (2) คือป้ายที่มีอักษรไทยปนกับอักษร ต่างประเทศและหรือปนกับภาพและหรือเครื่องหมายอื่น ให้สังเกตคำว่า “เครื่องหมายอื่น” กฎหมายไม่ได้เขียนไว้ว่าต้องเป็นเครื่องหมายการค้า
    2. คำว่า เครื่องหมายนั้นตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 252
    ...ดูเพิ่มเติม
    ประมาณ 1 ชั่วโมงที่แล้ว · ถูกใจ · 2

เขียนโดย Buraki ที่ 06:31 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2557

หลักการปฏิบัติในการควบคุมกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

หลักการปฏิบัติในการควบคุมกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องดำเนินการออกข้อกำหนดของท้องถิ่น โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติมาตรา 32(1) กำหนดประเภทกิจการตามประกาศกระทรวง (ซึ่งมีทั้งหมด 134 กิจการ) บางกิจการหรือทุกกิจการ ให้เป็นกิจการที่ต้องควบคุมในท้องถิ่นก่อน ซึ่งหมายความว่า กิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพที่รัฐมนตรีประกาศนั้น จะมีผลใช้บังคับในท้องถิ่นใด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นจะต้องออกข้อกำหนดของท้องถิ่นกำหนดให้เป็นกิจการที่ต้องควบคุมในท้องถิ่นนั้นเสียก่อน และไม่จำเป็นต้องกำหนดทุกประเภทกิจการ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่ากิจการนั้นเป็นปัญหาในเขตท้องถิ่นนั้นๆ หรือไม่ ดังนั้น เมื่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ออกข้อกำหนดของท้องถิ่นกำหนดให้กิจการใดเป็นกิจการที่ต้องควบคุมภายในท้องถิ่นแล้ว จะมีผลให้ผู้ประกอบกิจการนั้นที่ประกอบกิจการในลักษณะที่เป็นการค้า จะต้องขออนุญาตต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ข้อกำหนดของท้องถิ่นมีผลบังคับใช้ในท้องถิ่นนั้น ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ประกอบกิจการอยู่ก่อนที่ข้อกำหนดของท้องถิ่นจะมีการบังคับใช้ หรือ เป็นกรณีที่ประกอบกิจการภายหลังที่ข้อกำหนดของท้องถิ่นดังกล่าวมีผลบังคับใช้
อนึ่ง สำหรับกิจการประเภทกลุ่มบริการบันเทิง ซึ่งได้แก่ กิจการที่ 9(6), 9(7) , 9(9) และ 9(12) ถ้าเข้าข่ายเป็นสถานบริการตามพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. 2509 และที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสถานบริการ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2546 ต้องขอรับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. 2509 ด้วย

Admin “ประกอบ เจริญรัมย์”
เขียนโดย Buraki ที่ 22:26 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest
บทความที่ใหม่กว่า บทความที่เก่ากว่า หน้าแรก
สมัครสมาชิก: บทความ (Atom)

คลังบทความของบล็อก

  • ▼  2014 (21)
    • ►  กรกฎาคม (1)
    • ►  เมษายน (6)
    • ▼  มีนาคม (7)
      • การพิจารณาการประเมินใหม่ (ภาษีโรงเรือนฯ)
      • สิ่งต่อไปนี้เป็นอำนาจหน้าที่ที่ อปท.มีอยู่ในมือ คว...
      • การแจ้งรายการประเมิน(แบบ ภ.ร.ด.8)
      • การแจ้งการประเมิน ภรด.8 ของพนักงานเจ้าหน้าที่ จะทำ...
      • คำทวงติง จาก สตง. เรื่องค่าเช่ามาตรฐานกลางเฉลี่ยต่...
      • การพิจารณาป้าย (ภาษีป้าย) อ.อวิรุท
      • หลักการปฏิบัติในการควบคุมกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุ...
    • ►  กุมภาพันธ์ (7)
  • ►  2013 (27)
    • ►  พฤศจิกายน (1)
    • ►  ตุลาคม (8)
    • ►  กันยายน (18)
  • ►  2012 (6)
    • ►  เมษายน (1)
    • ►  มีนาคม (4)
    • ►  กุมภาพันธ์ (1)

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน

  • Buraki
  • Unknown

หน้าเว็บ

  • หน้าแรก
เรียบง่าย ธีม. ขับเคลื่อนโดย Blogger.