การจะพิจารณาว่าป้ายอะไรที่ต้องเสียภาษีนั้นให้ดูคำนิยามตามพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ.2510 มาตรา 6 ที่บัญญัติว่า “ป้าย” หมายความว่า ป้ายแสดงชื่อ ยี่ห้อหรือเครื่องหมายที่ใช้ในการประกอบการค้าหรือประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้หรือโฆษณาการค้าหรือกิจการอื่นเพื่อหารายได้ ไม่ว่าจะได้แสดงหรือโฆษณาไว้ที่วัตถุใดๆ ด้วยอักษร ภาพ หรือเครื่องหมายที่เขียน แกะสลัก จารึกหรือทำให้ปรากฏด้วยวิธีอื่น และตามบัญชีอัตราภาษีป้าย ปัจจุบันใช้กฎกระทรวงฉบับที่ 5 (พ.ศ.2510) ที่ออกตามความในพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ.2510 ป้ายประเภท (2) คือป้ายที่มีอักษรไทยปนกับอักษร ต่างประเทศและหรือปนกับภาพและหรือเครื่องหมายอื่น ให้สังเกตคำว่า “เครื่องหมายอื่น” ให้ดีนะครับ เพราะกฎหมายไม่ได้เขียนไว้ว่าต้องเป็นเครื่องหมายการค้า เพราะคำว่าเครื่องหมายการค้า ต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 7 ที่บัญญัติว่า “เครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะบ่งเฉพาะ ได้แก่ เครื่องหมายการค้าอันมีลักษณะที่ทำให้ประชาชนหรือผู้ใช้สินค้านั้นทราบและเข้าใจได้ว่า สินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้านั้นแตกต่างไปจากสินค้าอื่น” แต่เนื่องจากมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7036/2540 วินิจฉัยว่า คำว่า เครื่องหมายนั้นตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายความว่า สิ่งที่ทำขึ้นแสดงความหมายเพื่อจดจำหรือกำหนดรู้ ดังนั้น ย่อมหมายถึงสิ่งใด ๆ ก็ได้ที่ทำขึ้นเพื่อแสดงความหมายนั้น ซึ่งตามรูปลักษณ์ที่จำเลยทำขึ้นที่แสดงความหมายถึงรูปหัวใจ หากไม่พินิจดูอย่างละเอียดแล้วก็ไม่อาจทราบได้ว่ารูปดังกล่าวประกอบด้วยตัวอักษร C และ D ประกบกันอยู่ เนื่องจากตัวอักษรทั้งสองมีลักษณะไม่เหมือนกับตัวอักษรต่างประเทศ C และ D โดยทั่วไป แต่เป็นการประดิษฐ์ขึ้นเพื่อแทนความหมายของรูปหัวใจ ซึ่งโจทก์ก็ยอมรับว่า เป็นสัญลักษณ์ในการประกอบการค้าของจำเลยอันมีความหมายทำนองเดียวกับคำว่าเครื่องหมายนั่นเองป้ายโฆษณาของจำเลยที่ใช้อักษรย่อว่า "CD" เขียนเป็นรูปลักษณะคล้ายหัวใจและมีข้อความเป็นภาษาอังกฤษว่า "CATHAY DEPARTMENT STORE" ทับข้อความภาษาไทยว่า "คาเธ่ย์ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์"และ"ซุปเปอร์มาร์เก็ตเปิดบริการ ถึง 4 ทุ่ม" ต่อท้ายอักษรย่อดังกล่าว จึงเป็นป้ายที่มีอักษรไทยปนกับอักษรต่างประเทศและเครื่องหมายอื่น ตามที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราภาษีป้ายประเภท (2) ท้ายพระราชบัญญัติป้าย พ.ศ.2510 โดยศาลฎีกาให้เหตุผลเกี่ยวกับอักษรย่อภาษาอังกฤษ "CD" เป็นเครื่องหมายหรืออักษรต่างประเทศ คำว่า เครื่องหมายนั้นตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. 2525 หมายความว่า สิ่งที่ทำขึ้นแสดงความหมายเพื่อจดจำหรือกำหนดรู้ ดังนั้นย่อมหมายถึงสิ่งใด ๆ ก็ได้ที่ทำขึ้นเพื่อแสดงความหมายนั้น ซึ่งตามรูปลักษณ์ที่จำเลยทำขึ้นดังภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.1 รูปที่ 15 และ 16 นั้น แสดงความหมายถึงรูปหัวใจหากไม่พินิจดูอย่างละเอียดแล้วก็ไม่อาจทราบได้ว่ารูปดังกล่าวประกอบด้วยตัวอักษร Cและ D ประกบกันอยู่ เนื่องจากตัวอักษรทั้งสองมีลักษณะไม่เหมือนกับตัวอักษรต่างประเทศ C และ D โดยทั่วไป แต่เป็นการประดิษฐ์ขึ้นเพื่อแทนความหมายของรูปหัวใจซึ่งตามคำฟ้องและคำเบิกความของนายเข็มชาติ เขมานุกรม พยานโจทก์ผู้เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่มีหน้าที่จัดเก็บรายได้ของโจทก์ก็ยอมรับว่า เป็นสัญลักษณ์ในการประกอบการค้าของจำเลยอันมีความหมายทำนองเดียวกับคำว่าเครื่องหมายนั่นเอง จากคำวินิจฉัยดังกล่าวจะเห็นได้ว่า คำว่า “เครื่องหมายอื่น” ไม่จำเป็นต้องเป็นเครื่องหมายการค้าที่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์หากแต่ได้ใช้เป็นสัญลักษณ์ในการประกอบการค้าก็จะถือว่า เป็นเครื่องหมายอื่นตามความหมายของป้ายประเภท 2
ปัญหาต่อไปมีว่าคำว่า “โค๊ก” เป็นเครื่องหมายหรือตัวอักษร สำหรับผมเองเห็นว่าเป็นตัวอักษรที่เขียนชื่อสินค้า ไม่ได้เป็นเครื่องหมายอะไรเลยเพราะไม่ได้มีการแสดงให้เห็นว่า เป็นการประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อแทนความหมายของคำว่า “โค๊ก” ประกอบกับคำว่า “เครื่องหมาย” ศาลฎีกาวินิจฉัยเคยวินิจฉัยไว้แล้วว่า ตามพจนานุกรม คำว่า “เครื่องหมายนั้นตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายความว่า สิ่งที่ทำขึ้นแสดงความหมายเพื่อจดจำหรือกำหนดรู้ ดังนั้น ย่อมหมายถึงสิ่งใด ๆ ก็ได้ที่ทำขึ้นเพื่อแสดงความหมายนั้น” ในเมื่อคำว่า “โค๊ก” เป็นการเขียนด้วยอักษรไทยและสามารถอ่านได้เลยโดยไม่ปรากฎว่าเป็นสิ่งที่ทำขึ้นเพื่อแสดงความหมาย แม้คำว่า “โค๊ก” ดังกล่าวจะได้จดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้าเพราะเป็นกลุ่มของสีที่แสดงโดยลักษณะพิเศษ หรือตัวหนังสือ ตัวเลข หรือคำที่ประดิษฐ์ขึ้น(พรบ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 7 (3) ) ก็ไม่น่าจะใช่คำว่า “เครื่องหมายอื่น” ตามที่บัญญัติในกฎกระทรวงฉบับที่ 5 (พ.ศ.2510) ที่ออกตามความในพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ.2510 ป้ายประเภท (2) คือป้ายที่มีอักษรไทยปนกับอักษร ต่างประเทศและหรือปนกับภาพและหรือเครื่องหมายอื่น
ปัญหาต่อไปมีว่าคำว่า “โค๊ก” เป็นเครื่องหมายหรือตัวอักษร สำหรับผมเองเห็นว่าเป็นตัวอักษรที่เขียนชื่อสินค้า ไม่ได้เป็นเครื่องหมายอะไรเลยเพราะไม่ได้มีการแสดงให้เห็นว่า เป็นการประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อแทนความหมายของคำว่า “โค๊ก” ประกอบกับคำว่า “เครื่องหมาย” ศาลฎีกาวินิจฉัยเคยวินิจฉัยไว้แล้วว่า ตามพจนานุกรม คำว่า “เครื่องหมายนั้นตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายความว่า สิ่งที่ทำขึ้นแสดงความหมายเพื่อจดจำหรือกำหนดรู้ ดังนั้น ย่อมหมายถึงสิ่งใด ๆ ก็ได้ที่ทำขึ้นเพื่อแสดงความหมายนั้น” ในเมื่อคำว่า “โค๊ก” เป็นการเขียนด้วยอักษรไทยและสามารถอ่านได้เลยโดยไม่ปรากฎว่าเป็นสิ่งที่ทำขึ้นเพื่อแสดงความหมาย แม้คำว่า “โค๊ก” ดังกล่าวจะได้จดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้าเพราะเป็นกลุ่มของสีที่แสดงโดยลักษณะพิเศษ หรือตัวหนังสือ ตัวเลข หรือคำที่ประดิษฐ์ขึ้น(พรบ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 7 (3) ) ก็ไม่น่าจะใช่คำว่า “เครื่องหมายอื่น” ตามที่บัญญัติในกฎกระทรวงฉบับที่ 5 (พ.ศ.2510) ที่ออกตามความในพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ.2510 ป้ายประเภท (2) คือป้ายที่มีอักษรไทยปนกับอักษร ต่างประเทศและหรือปนกับภาพและหรือเครื่องหมายอื่น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น