จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ถ้าอำเภอส่งใบเสร็จภาษีบำรุงท้องที่ให้ อบต. ไม่ทัน

ถ้าอำเภอส่งใบเสร็จภาษีบำรุงท้องที่ให้ อบต. ไม่ทันและหรือจำนวนไม่เพียงพอกับจำนวนผู้อยู่ในข่ายเสียภาษี เมื่อมีผู้เสียภาษีมาชำระภาษีบำรุงท้องที่ ไม่มีใบเสร็จภาษีบำรุงท้องที่จะออกให้ผู้เสียภาษี อบต.จะทำอย่างไร?

คำตอบ
มาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508 และกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2516) กำหนดการจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่ให้ อบต. หักเป็นค่าส่วนลดและค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่ คือ ส่วนลดร้อยละ 6 ให้แก่เจ้าพนักงานสำรวจซึ่งเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และค่าใช่จ่ายในการจัดเก็บร้อยละ 5 ให้แก่จังหวัดตามแบบพิมพ์ ภบท.17 ทุกวันที่ 5 ของทุกเดือนผ่านอำเภอ เพื่อเป็น ค่าแบบพิมพ์ ค่าจ้างคิดเนื้อที่ดิน ค่าคำนวณภาษี ค่าเขียนใบเสร็จ ค่าจัดทำทะเบียนที่ดิน ค่าตรวจสอบ ค่าใช้จ่ายในการตีราคาปานกลางของที่ดิน และค่าใช้จ่ายอื่นๆโดยถือปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่นอกเขตเทศบาล(ฉบับที่ 4) พ.ศ.2516 และหนังสือกรมการปกครอง ที่ มท 0318 / 1517 ลงวันที่ 20 กรกฎาคม2541 กำหนด

ค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บร้อยละ 5 ที่ส่งไปจังหวัดแล้ว แต่ปรากฎว่า อบต. ขอรับใบเสร็จแต่จังหวัดบางจังหวัดไม่มีใบเสร็จเพียงพอที่จะให้ ซึ่งเป็นปัญหาต่อ อบต.หลายๆ แห่ง ไม่มีใบเสร็จหรือใบเสร็จไม่เพียงพอกับจำนวนผู้เสียภาษี เหตุที่เกิดขึ้นไม่สามารถทราบได้ว่าเป็นความผิดของใคร ในความเห็นว่าส่วนตัวเห็นว่าควรยกเลิกมาตราดังกล่าวและระเบียบกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ อบต.ดำเนินการได้เองเสมือนเช่นเทศบาล แต่เมื่อยังไม่ยกเลิกก็ต้องให้ อบต. ดำเนินการดังนี้

ทุกเดือนตุลาคมก่อนเข้าปีภาษี ให้ อบต. ตรวจสอบใบเสร็จภาษีบำรุงท้องที่ยังคงเหลืออยู่จำนวนกี่เล่ม
1. ต้องการเพิ่มอีกกี่เล่ม และทำหนังสือแจ้งจำนวนใบเสร็จที่ต้องการไปยังจังหวัด และติดตามสอบถามเป็นระยะเพื่อให้ได้รับใบเสร็จเตรียมไว้ตั้งแต่ธันวาคม
2. สำรวจจัดทำทะเบียนบัญชีผู้อยู่ในข่ายเสียภาษี (ภบท.6) เพื่อจะรู้ปริมาณของผู้เสียภาษีเป็นฐานการขอรับใบเสร็จเพิ่ม
3. กรณีใบเสร็จไม่มีหรือมีไม่เพียงพอ หากมีผู้มาชำระภาษี ให้เจ้าหน้าที่ออกใบรับฝากไปพลางก่อน และเร่งรัดการออกใบเสร็จให้แก่ผู้เสียภาษีภายหลังโดยเร็ว

*สถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ
Admin “ประกอบ เจริญรัมย์”

หลักเกณฑ์การประเมินตู้โทรศัพท์

ปัญหาเรื่องค่ารายปีของตู้โทรศัพท์ก่อปัญหาขึ้นมาก จนมีมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2552 เกี่ยวกับการประเมินตู้โทรศัพท์สาธารณะ เนื่องจากบางรายศาลสั่งให้ประเมินใหม่ ทำให้กระทรวงมหาดไทยต้องกำหนดหลักเกณฑ์การประเมินค่ารายปีของทรัพย์สินดังกล่าวขึ้นมา ดังนี้

กรณีตู้โทรศัพท์สาธารณะที่มีการให้เช่า
ให้นำค่าเช่ามาคำนวณค่ารายปี
กรณีตู้โทรศัพท์สาธารณะที่ไม่สามารถหาค่าเช่าได้
เนื่องด้วยเจ้าของประกอบธุรกิจเอง

ให้ อปท. ถือปฏิบัติตามหนังสือกระทรวงมหาดไทย ด่วนที่สุด ที่ มท 0307/ว 2393 ลงวันที่ 10 กันยายน 2536 คำนวณค่ารายปี ดังนี้

2.1 ให้ อปท.หาค่ารายปีสำหรับตู้โทรศัพท์สาธารณะ จากค่าเช่ามาตราฐานกลางเฉลี่ยต่อตารางเมตรแยกตามทำเลที่ตั้งซึ่งมีความเจริญทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันในเขตพื้นที่

2.2 การหาค่าเช่ามาตรฐานกลางเฉลี่ยต่อตารางเมตร ให้ใช้หลักการเทียบเคียงกับค่าเช่าจริงของทรัพย์สินประเภทอาคาร หรือค่าเช่าแผงลอยในเขตพื้นที่ใกล้เคียงแต่ละทำเลที่ตั้งหรือเทียบเคียงกับอัตรค่าเช่าอาคารอาคารลักษณะพิเศษหรือแผงลอยที่กรมธนารักษ์กำหนด

การประเมินค่ารายปีตู้โทรศัพท์สาธารณะ
ไม่ควรสูงกว่าค่ารายปีที่กรุงเทพมหานครจัดเก็บในอัตราค่าเช่าสูงสุด 250 บาทต่อตู้ต่อเดือน

*สถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ
Admin "ประกอบ เจริญรัมย์"

วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ประเภทกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ 13 ประเภทกิจการหลัก

ประเภทกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ได้ถูกกำหนดขึ้นโดยประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งกำหนดกิจการไว้ทั้งสิ้น 13 ประเภทกิจการหลัก ดังรายการท้ายนี้ เจ้าของหรือผู้ประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพแต่ละประเภทต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายที่หน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่นมีประกาศกำหนดไว้ สรุปดังนี้

ก. ยื่นคำขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยยื่นแบบตามที่กำหนด ได้ที่ 
หน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่นที่กิจการนั้นๆ ตั้งอยู่ 
ข. ใบอนุญาตมีอายุ 1 ปี ให้ยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตตามแบบที่กำหนด ก่อนใบอนุญาตหมดอายุ 
ค. ชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบกิจการตามอัตราที่กำหนดไว้ในกฎหมาย 
ง. ต้องควบคุมกิจการ จัดสถานที่สำหรับประกอบกิจการค้า ให้เป็นไปตามเงื่อนไขอันเกี่ยวด้วยสุขลักษณะ 
และมาตรการด้านสุขภาพและหลักเกณฑ์อื่นๆ ที่มีกำหนดในกฎหมาย 
จ. แสดงใบอนุญาตไว้โดยเปิดเผยและเห็นได้ง่าย ณ สถานที่ประกอบกิจการตลอดเวลาที่ประกอบกิจการ
รายการประเภทกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพตาม 
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
1. กิจการที่เกี่ยวกับการเลี้ยงสัตว์

(1) การเลี้ยงสัตว์บก สัตว์ปีก สัตว์น้ำ สัตว์เลื้อยคลานหรือแมลง 
(2) การเลี้ยงสัตว์เพื่อรีดเอาน้ำนม 
(3) การประกอบกิจการเลี้ยง รวบรวมสัตว์ หรือธุรกิจอื่นใดอันมีลักษณะทำนองเดียวกัน เพื่อให้ประชาชนเข้าชมหรือเพื่อประโยชน์ของกิจการนั้น ทั้งนี้จะมีการเรียกเก็บค่าดูหรือค่าบริการไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมหรือไม่ก็ตาม
2. กิจการที่เกี่ยวกับสัตว์และผลิตภัณฑ์

(1) การฆ่าสัตว์ ยกเว้นในสถานที่จำหน่ายอาหาร การเร่ขาย การขายในตลาดและการฆ่าเพื่อบริโภคในครัวเรือน 
(2) การฟอกหนังสัตว์ ขนสัตว์ การสะสมหนังสัตว์ ขนสัตว์ที่ยังมิได้ฟอก 
(3) การสะสมเขาสัตว์ กระดูกสัตว์ที่ยังมิได้แปรรูป 
(4) การเคี่ยวหนังสัตว์ เอ็นสัตว์ ไขสัตว์ 
(5) การต้ม การตาก การเผาเปลือกหอย เปลือกปู เปลือกกุ้ง ยกเว้นในสถานที่จำหน่ายอาหาร การเร่ขาย และการขายในตลาด 
(6) การประดิษฐ์เครื่องใช้หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ จากเปลือกหอย กระดูกสัตว์ เขาสัตว์ หนังสัตว์ ขนสัตว์ หรือส่วนอื่นๆ ของสัตว์ 
(7) การผลิต การโม่ การป่น การบด การผสม การบรรจุ การสะสม หรือการกระทำอื่นใดต่อสัตว์หรือพืช หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของสัตว์หรือพืช เพื่อเป็นอาหารสัตว์ 
(8) การสะสมหรือการล้างครั่ง
3. กิจการที่เกี่ยวกับอาหาร เครื่องดื่ม น้ำดื่ม

(1) การผลิตเนย เนยเทียม 
(2) การผลิตกะปิ น้ำพริกแกง น้ำพริกเผา น้ำปลา น้ำเคย น้ำบูดู ไตปลา เต้าเจี้ยว ซีอิ้ว หอยดอง หรือซอสปรุงรสอื่นๆ ยกเว้นการผลิตเพื่อบริโภคในครัวเรือน 
(3) การผลิต การหมัก การสะสมปลาร้า ปลาเจ่า กุ้งเจ่า ยกเว้นการผลิตเพื่อบริโภคในครัวเรือน 
(4) การตากเนื้อสัตว์ การผลิตเนื้อสัตว์เค็ม การเคี่ยวมันกุ้ง ยกเว้นการผลิตเพื่อบริโภคในครัวเรือน 
(5) การนึ่ง การต้ม การเคี่ยว การตาก หรือวิธีอื่นใดในการผลิตอาหารจากสัตว์ พืช ยกเว้นในสถานที่จำหน่ายอาหาร การเร่ขาย การขายในตลาด และการผลิตเพื่อบริโภคในครัวเรือน 
(6) การเคี่ยวน้ำมันหมู การผลิตกุนเชียง หมูยอ ไส้กรอก หมูตั้ง ยกเว้นในสถานที่จำหน่ายอาหาร การเร่ขาย การขายในตลาด และการผลิตเพื่อบริโภคในครัวเรือน 
(7) การผลิตเส้นหมี่ ขนมจีน ก๋วยเตี๋ยว เต้าฮวย เต้าหู้ วุ้นเส้น เกี้ยมอี๋ 
(8) การผลิตแบะแซ 
(9) การผลิตอาหารบรรจุกระป๋อง ขวด หรือภาชนะอื่นใด 
(10) การประกอบกิจการทำขนมปังสด ขนมปังแห้ง จันอับ ขนมเปี๊ยะ 
(11) การแกะ การล้างสัตว์น้ำ ที่ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของกิจการห้องเย็น ยกเว้นการผลิตเพื่อบริโภคในครัวเรือน 
(12) การผลิตน้ำอัดลม น้ำหวาน น้ำโซดา น้ำถั่วเหลือง เครื่องดื่มชนิดต่างๆ บรรจุกระป๋อง ขวดหรือภาชนะอื่นใด ยกเว้นการผลิตเพื่อบริโภคในครัวเรือน 
(13) การผลิต การแบ่งบรรจุน้ำตาล 
(14) การผลิตผลิตภัณฑ์จากน้ำนมวัว 
(15) การผลิต การแบ่งบรรจุเอททิลแอลกอฮอล์ สุรา เบียร์ น้ำส้มสายชู 
(16) การคั่วกาแฟ 
(17) การผลิตลูกชิ้นด้วยเครื่องจักร 
(18) การผลิตผงชูรส 
(19) การผลิตน้ำกลั่น น้ำบริโภค 
(20) การตาก การหมัก การดองผัก ผลไม้ หรือพืชอย่างอื่น ยกเว้นการผลิตเพื่อบริโภคในครัวเรือน 
(21) การผลิต การบรรจุใบชาแห้ง ชาผงหรือเครื่องดื่มชนิดผงอื่นๆ 
(22) การผลิตไอศกรีม ยกเว้นการผลิตเพื่อบริโภคในครัวเรือน 
(23) การผลิตบะหมี่ มักกะโรนี หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน 
(24) การประกอบกิจการห้องเย็น แช่แข็งอาหาร 
(25) การผลิตน้ำแข็ง ยกเว้นการผลิตเพื่อใช้ในสถานที่จำหน่ายอาหารและเพื่อการบริโภคในครัวเรือน 
(26) การเก็บ การถนอมอาหารด้วยเครื่องจักรที่มีกำลังตั้งแต่ ๕ แรงม้าขึ้นไป
4. กิจการที่เกี่ยวกับยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์การแพทย์ เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ชำระล้าง

(1) การผลิต การโม่ การบด การผสม การบรรจุยาด้วยเครื่องจักร 
(2) การผลิต การบรรจุยาสีฟัน แชมพู ผ้าเย็น กระดาษเย็น เครื่องสำอางต่างๆ 
(3) การผลิตสำลี ผลิตภัณฑ์จากสำลี 
(4) การผลิตผ้าพันแผล ผ้าปิดแผล ผ้าอนามัย ผ้าอ้อมสำเร็จรูป 
(5) การผลิตสบู่ ผงซักฟอก ผลิตภัณฑ์ชำระล้างต่างๆ
5. กิจการที่เกี่ยวกับการเกษตร

(1) การอัด การสกัดเอาน้ำมันจากพืช 
(2) การล้าง การอบ การรม การสะสมยางดิบ 
(3) การผลิตแป้งมันสำปะหลัง แป้งสาคูหรือแป้งอื่นๆ ในทำนองเดียวกันด้วยเครื่องจักร 
(4) การสีข้าวด้วยเครื่องจักร 
(5) การผลิตยาสูบ 
(6) การขัด การกระเทาะ การบดเมล็ดพืช การนวดข้าวด้วยเครื่องจักร 
(7) การผลิต การสะสมปุ๋ย 
(8) การผลิตใยมะพร้าวหรือวัตถุคล้ายคลึงด้วยเครื่องจักร 
(9) การตาก การสะสมหรือการขนถ่ายมันสำปะหลัง



6. กิจการที่เกี่ยวกับโลหะหรือแร่

(1) การผลิตโลหะเป็นภาชนะ เครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์หรือเครื่องใช้ต่างๆ 
(2) การหลอม การหล่อ การถลุง แร่หรือโลหะทุกชนิด ยกเว้นกิจการใน (1) 
(3) การกลึง การเจาะ การเชื่อม การตี การตัด การประสาน การรีด การอัดโลหะ ด้วยเครื่องจักรหรือกาซหรือไฟฟ้า ยกเว้นกิจการใน (1) 
(4) การเคลือบ การชุบโลหะด้วยตะกั่ว สังกะสี ดีบุก โครเมี่ยม นิเกิลหรือโลหะอื่นใด ยกเว้นกิจการใน (1) 
(5) การขัด การล้างโลหะด้วยเครื่องจักร สารเคมี หรือวิธีอื่นใด ยกเว้นกิจการใน (1) 
(6) การทำเหมืองแร่ การสะสม การแยก การคัดเลือกหรือการล้างแร่
7. กิจการเกี่ยวกับยานยนต์ เครื่องจักรหรือเครื่องกล

(1) การต่อ การประกอบ การเคาะ การปะผุ การพ่นสี การพ่นสารกัน สนิมยานยนต์ 
(2) การตั้งศูนย์ถ่วงล้อ การซ่อม การปรับแต่ง ระบบปรับอากาศหรือ อุปกรณ์ที่เป็นส่วนประกอบของยานยนต์เครื่องจักรหรือเครื่องกล 
(3) การประกอบธุรกิจเกี่ยวกับยานยนต์ เครื่องจักร หรือเครื่องกลซี่งมีไว้บริการ หรือจำหน่ายและในการประกอบธุรกิจนั้น มีการซ่อมหรือปรับปรุงยานยนต์ เครื่องจักร หรือเครื่องกลดังกล่าวด้วย 
(4) การล้าง การอัดฉีดยานยนต์ 
(5) การผลิต การซ่อม การอัดแบตเตอรี่ 
(6) การปะ การเชื่อมยาง 
(7) การอัดผ้าเบรคผ้าคลัช



8. กิจการที่เกี่ยวกับไม้

(1) การผลิตไม้ขีดไฟ 
(2) การเลื่อย การซอย การขัด การไส การเจาะ การขุดร่อง การทำคิ้ว หรือ การตัดไม้ด้วยเครื่องจักร 
(3) การประดิษฐ์ไม้ หวาย เป็นสิ่งของด้วยเครื่องจักร หรือการพ่นการทาสาร เคลือบเงาสี หรือการแต่งสำเร็จผลิตภัณฑ์จากไม้หรือหวาย 
(4) การอบไม้ 
(5) การผลิตธูป ด้วยเครื่องจักร 
(6) การประดิษฐ์สิ่งของ เครื่องใช้ เครื่องเขียนด้วยกระดาษ 
(7) การผลิตกระดาษต่างๆ 
(8) การเผาถ่าน หรือการสะสมถ่าน
9. กิจการที่เกี่ยวกับการบริการ

(1) กิจการสปาเพื่อสุขภาพ เว้นแต่เป็นการให้บริการในสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล 
(2) การประกอบกิจการอาบ อบ นวด เว้นแต่เป็นการให้บริการใน 9 (1) หรือในสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล 
(3) การประกอบกิจการสถานที่อาบน้ำ อบไอน้ำ อบสมุนไพร เว้นแต่เป็นการให้บริการ ใน 9 (1) หรือในสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล 
(4) การประกอบกิจการโรงแรมหรือกิจการอื่นในทำนองเดียวกัน 
(5) การประกอบกิจการหอพัก อาคารชุดให้เช่า ห้องเช่า ห้องแบ่งเช่า หรือกิจการอื่นในทำนองเดียวกัน 
(6) การประกอบกิจการโรงมหรสพ 
(7) การจัดให้มีการแสดงดนตรี เต้นรำ รำวง รองเง็ง ดิสโก้เทค คาราโอเกะ หรือการแสดงอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน 
(8) การประกอบกิจการสระว่ายน้ำ หรือกิจการอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน เว้นแต่เป็นการให้บริการ 9 (1) 
(9) การจัดให้มีการเล่นสเก็ต โดยมีแสงหรือเสียงประกอบ หรือการเล่นอื่นในทำนองเดียวกัน 
(10) การประกอบกิจการเสริมสวยแต่งผม เว้นแต่กิจการที่อยู่ในบังคับตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบกิจการวิชาชีพเวชกรรม 
(11) การประกอบกิจการให้บริการควบคุมน้ำหนัก โดยวิธีการควบคุมทางโภชนาการ ให้อาหารที่มีวัตถุประสงค์พิเศษ การบริหารร่างกาย หรือโดยวิธีอื่นใด เว้นแต่เป็นการให้บริการใน ๙ (๑) หรือในสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล 
(12) การประกอบกิจการสวนสนุก ตู้เกม 
(13) การประกอบกิจการสนามกอล์ฟหรือสถานฝึกซ้อมกอล์ฟ 
(14) การประกอบกิจการห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ การสาธารณสุข วิทยาศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม 
(15) การสักผิวหนัง การเจาะหูหรืออวัยวะอื่น 
(16) การประกอบกิจการให้บริการเลี้ยงและดูแลเด็กที่บ้าน
10. กิจการที่เกี่ยวกับสิ่งทอ

(1) การปั่นด้าย การกรอด้าย การทอผ้าด้วยเครื่องจักร หรือการทอผ้าด้วยกี่กระตุกตั้งแต่5 กี่ขึ้นไป 
(2) การสะสมปอ ป่าน ฝ้ายหรือนุ่น 
(3) การปั่นฝ้ายหรือนุ่นด้วยเครื่องจักร 
(4) การทอเสื่อ กระสอบ พรม หรือสิ่งทออื่นๆ ด้วยเครื่องจักร 
(5) การเย็บผ้าด้วยเครื่องจักรตั้งแต่ ๕ เครื่องขึ้นไป 
(6) การพิมพ์ผ้า หรือการพิมพ์บนสิ่งทออื่นๆ 
(7) การซัก การอบ การรีด การอัดกลีบผ้าด้วยเครื่องจักร 
(8) การย้อม การกัดสีผ้าหรือสิ่งทออื่นๆ
11. กิจการที่เกี่ยวกับหิน ดิน ทราย ซีเมนต์ หรือวัตถุที่คล้ายคลึง

(1) การผลิตภาชนะดินเผาหรือผลิตภัณฑ์ดินเผา 
(2) การระเบิด การโม่ การป่นหินด้วยเครื่องจักร 
(3) การผลิตเครื่องใช้ด้วยซีเมนต์ หรือวัตถุที่คล้ายคลึง 
(4) การสะสม การผสมซีเมนต์ หิน ทราย หรือวัตถุที่คล้ายคลึง 
(5) การเจียระไนเพชร พลอย หิน กระจกหรือวัตถุที่คล้ายคลึง 
(6) การเลื่อย การตัด หรือการประดิษฐ์หินเป็นสิ่งของต่างๆ 
(7) การผลิตชอล์ค ปูนปาสเตอร์ ปูนขาว ดินสอพอง หรือการเผาหินปูน 
(8) การผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบหรือส่วนผสม เช่น ผ้าเบรคผ้าคลัช กระเบื้องมุงหลังคา กระเบื้องยาง ฝ้าเพดาน ท่อน้ำ เป็นต้น 
(9) การผลิตกระจกหรือผลิตภัณฑ์แก้ว 
(10) การผลิตกระดาษทราย 
(11) การผลิตใยแก้วหรือผลิตภัณฑ์จากใยแก้ว


12. กิจการที่เกี่ยวกับปิโตรเลี่ยม ถ่านหิน สารเคมี

(1) การผลิต การบรรจุ การสะสม การขนส่งกรด ด่าง สารออกซิไดส์ หรือสารตัวทำละลาย 
(2) การผลิต การบรรจุ การสะสม การขนส่งก๊าซ 
(3) การผลิต การกลั่น การสะสม การขนส่งน้ำมันปิโตรเลี่ยมหรือผลิตภัณฑ์ปิโตรเลี่ยมต่างๆ 
(4) การผลิต การสะสม การขนส่งถ่านหิน ถ่านโค้ก 
(5) การพ่นสี ยกเว้นกิจการใน 7 (1) 
(6)การประดิษฐ์สิ่งของเครื่องใช้ด้วยยาง ยางเทียม พลาสติก เซลลูลอยด์ เบเกอร์ไลท์ หรือวัตถุที่คล้ายคลึง 
(7) การโม่ การบดชัน 
(8) การผลิตสีหรือน้ำมันผสมสี 
(9) การผลิต การล้างฟิล์มรูปถ่ายหรือฟิล์มภาพยนต์ 
(10) การเคลือบ การชุบ วัตถุด้วยพลาสติก เซลลูลอยด์ เบเกอร์ไลท์ หรือ วัตถุที่คล้ายคลึง 
(11) การผลิตพลาสติก เซลลูลอยด์ เบเกอร์ไลท์หรือวัตถุที่คล้ายคลึง 
(12) การผลิต การบรรจุสารเคมีดับเพลิง 
(13) การผลิตน้ำแข็งแห้ง 
(14) การผลิต การสะสม การขนส่งดอกไม้เพลิงหรือสารเคมีอันเป็นส่วนประกอบในการผลิตดอกไม้เพลิง 
(15) การผลิตแชลแล็คหรือสารเคลือบเงา 
(16) การผลิต การบรรจุ การสะสม การขนส่งสารจำกัดศัตรูพืชหรือพาหะนำโรค 
(17) การผลิต การบรรจุ การสะสมกาว
13. กิจการอื่นๆ

(1) การพิมพ์หนังสือหรือสิ่งพิมพ์อื่นที่มีลักษณะเดียวกันด้วยเครื่องจักร 
(2) การผลิต การซ่อมเครื่องอีเลคโทรนิคส์ เครื่องไฟฟ้า อุปกรณ์อีเลคโทรนิคส์ อุปกรณ์ไฟฟ้า 
(3) การผลิตเทียน เทียนไขหรือวัตถุที่คล้ายคลึง 
(4) การพิมพ์แบบ พิมพ์เขียวหรือการถ่ายเอกสาร 
(5) การสะสมวัตถุหรือสิ่งของที่ชำรุด ใช้แล้วหรือเหลือใช้ 
(6) การประกอบกิจการโกดังสินค้า 
(7) การล้างขวด ภาชนะหรือบรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้ว 
(8) การพิมพ์สีลงบนวัตถุที่มิใช่สิ่งทอ 
(9) การก่อสร้าง 
(10) กิจการที่เทียบเรือประมง สะพานปลา หรือ แพปลา


ประเด็นปัญหาการจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดิน พิจารณากรณีการจัดเก็บภาษีที่อยู่อาศัยตาม พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475

ประเด็นปัญหาการจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดิน พิจารณากรณีการจัดเก็บภาษีที่อยู่อาศัยตาม
พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475
เนื่องจากภาษีโรงเรือนและที่ดินเป็นภาษี ท้องถิ่นซึ่งมีผลกระทบต่อท้องถิ่นโดยตรง อันส่งผลไปถึงการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมชุมชนของท้องถิ่นโดยตรง ในที่นี้ผู้เขียนมีประเด็นพิจารณาอยู่ 2 ประเด็น คือ
ประเด็นที่ 1 ประเด็น ที่อยู่อาศัย
ขอแยกพิจารณาเรื่อง  “ที่อยู่อาศัยออกเป็น 2 กรณี คือ
(1) “ที่อยู่อาศัยที่เจ้าของอยู่เอง ได้รับการยกเว้นภาษีโรงเรือนและที่ดินตามมาตรา 10
(2) “ที่อยู่อาศัยที่เจ้าของมิได้อยู่เอง แต่ปิดไว้ตลอดปี  ได้รับการยกเว้นภาษีโรงเรือนและที่ดินตามมาตรา 9 (5)
ฉะนั้น ในกรณีที่ ที่อยู่อาศัยที่เจ้าของอยู่เอง แต่ปิดไว้ตลอดปี  ก็จะได้รับการยกเว้นภาษีโรงเรือนและที่ดินตามข้อยกเว้นมาตรา 10 กล่าวคือ  เป็นกรณีที่เจ้าของอยู่เอง ไม่ว่าจะเปิด หรือปิดตลอดปีก็ตาม
จากประเด็นปัญหาข้างต้น ก่อให้เกิดปัญหาในเรื่อง หลักความเป็นธรรมทางสังคมสำหรับผู้ที่บ้านอยู่อาศัย(รวมมูลค่าของที่ดินด้วย)มีมูลค่าสูง ๆ  ในเรื่อง ฐานภาษีแคบลงเพราะมีการยกเว้นภาษีให้แก่โรงเรือนที่เจ้าของใช้อยู่อาศัย หรือ ที่เจ้าของมิได้อยู่เอง แต่ปิดไว้ตลอดปี  เป็นผลทำให้ท้องถิ่นจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินได้น้อย มีเงินไม่เพียงพอแก่การใช้จ่าย
กรณีการอยู่อาศัยเอง โดยเฉพาะ ในกรณีที่เจ้าของไปปลูกบ้านที่อยู่อาศัยมูลค่าสูง ๆ เพื่อเป็นบ้านพักผ่อน หรือบ้านตากอากาศของเศรษฐี  ในกรณีนี้ หากข้อเท็จจริงปรากฏว่าบ้านโรงเรือนที่ปลูกเป็น ที่อยู่อาศัยก็จะถูกตีความว่าเข้าข้อยกเว้นทันที ไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน ตามมาตรา 10 ซึ่งไม่ถูกต้อง  เป็นปัญหาในการตรวจสอบและวินิจฉัย  เพราะ ที่อยู่อาศัยควรหมายถึงที่พักที่อยู่ประจำ หรืออย่างน้อยต้องเฉลี่ยระยะเวลาการอยู่อาศัยไม่น้อยกว่า 180 วัน (6 เดือน) แต่ปรากฏว่า บ้านพักผ่อน หรือบ้านตากอากาศของเศรษฐี  ดังกล่าว มีการปลูกบ้านทิ้งไว้  แล้วมิได้อยู่ประจำตามความหมายของ ที่อยู่อาศัย”  แต่ก็ได้รับการยกเว้นภาษีโรงเรือนและที่ดินโดยปริยายเช่นกัน ทำให้เห็นถึงความ ไม่เป็นธรรมได้
ฉะนั้น กรณีตีความว่าเป็น ที่อยู่อาศัยแล้ว มิได้หมายความว่าจะได้รับการยกเว้นภาษีโรงเรือนและที่ดินทั้งหมด ดังกล่าวข้างต้น  จึงถือเป็นช่องว่างของกฎหมายที่นำไปตีความในทางที่เป็นประโยชน์ต่อนายทุนหรือผู้ที่มีทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก โดยไม่คำนึงถึงการกระจายรายได้ หรือ การกระจายภาระทางสังคมให้แก่เศรษฐีหรือผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจสูง ซึ่งมีทรัพย์สินที่มิได้ก่อให้เกิดประโยชน์ในทางเศรษฐศาสตร์แต่อย่างใด




ประเด็นที่ 2 ในกรณีไม่มีค่าเช่าหรือหาค่าเช่าไม่ได้ เช่น เจ้าของดำเนินการเอง
ในความหมายของ ค่ารายปีตามมาตรา 8 แห่ง พรบ.ภาษีโรงเรือนและที่ดินฯ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องใช้ดุลยพินิจในการประเมินค่ารายปี ประสบกับปัญหามาตรฐานความถูกต้องในการจัดเก็บภาษี
                เรื่องนี้กระทรวงมหาดไทย กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (เดิมกรมการปกครอง) ได้มีหนังสือสั่งการกำหนดให้นำ อัตราค่าเช่ามาตรฐานกลางเฉลี่ยต่อตารางเมตรมาใช้ในกรณีที่หาค่าเช่าไม่ได้  หรือ นำมาเป็นฐานในการประเด็นการจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินที่ถูกต้องเป็นธรรม ตามนัยหนังสือสั่งการกระทรวงมหาดไทย ที่ มท 0307/2393 เรื่อง ซักซ้อมแนวทางการจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดิน และการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ลงวันที่ 10 กันยายน 2536 แต่อย่างไรก็ตาม ตามบันทึกความเห็นของกฤษฎีกาเลขเสร็จที่ 359/2536 มีความเห็นว่า การดำเนินการดังกล่าวของหน่วยราชการบริหารส่วนท้องถิ่นอาจกำหนดเป็นการภายใน (แนวทางปฏิบัติภายใน) ยังไม่ถือเป็นการทั่วไป  ซึ่งการกำหนดอัตราค่าเช่ามาตรฐานกลางเฉลี่ยต่อตารางเมตรนี้มีหลักการโดยสรุปก็คือ การแบ่งย่านที่ดินออกเป็นย่าน ๆ ตามสภาพการใช้ประโยชน์ธุรกิจ  หากย่านใดมีการใช้ประโยชน์ธุรกิจมากก็คิดคำนวณอัตราภาษี ค่าเช่ามาตรฐานกลางเฉลี่ยต่อตารางเมตรที่สูงกว่าอีกย่านหนึ่ง ทั้งนี้ให้มีการพิจารณาปรับปรุงเป็นประจำทุกปี  ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาไม่มีค่าเช่าหรือหาค่าเช่าไม่ได้ เช่น เจ้าของดำเนินการเอง 
                จึงมองได้ว่า นอกจากภาษีโรงเรือนและที่ดินมีฐานภาษีที่ไม่มีความแน่นอนแล้ว  การใช้ฐานค่าเช่ารายปีดังกล่าว ยังขัดกับหลักการจัดเก็บภาษีทรัพย์สินเพราะเป็นการจัดเก็บภาษีเฉพาะทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้เท่านั้น 
                ปัญหาการประเมินและจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดิน  พบว่า มีทั้งใช้รูปแบบที่เป็นทำเล ซึ่งเดิมและปัจจุบันนี้ยังใช้อยู่ จะมีแต่เกณฑ์ ประเมินเฉพาะอาคารที่ตั้งอยู่ในทำเลที่กำหนดมาตรฐานไว้แล้ว ส่วนบริเวณที่ไม่มีการกำหนดไว้ ก็ไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ทำให้การตัดสินใจเก็บภาษี มีข้อคิดพิจารณาได้ทั้ง 2 รูปแบบ ว่าจะจัดเก็บในลักษณะใดเป็นทำเลหรือตารางเมตร 
 สรุปปัญหาการจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดิน ดังนี้ 
1) ฐานภาษีไม่มีความแน่นอน โดยเฉพาะในกรณีไม่มีค่าเช่าหรือหาค่าเช่าไม่ได้
2) อัตราภาษีสูงเกินไป ในอัตราร้อยละ 12.5 ของค่าเช่าต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่ไม่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันทำให้มีการหลบเลี่ยงภาษี
3) ฐานภาษีแคบ เนื่องจากยกเว้นภาษีให้แก่โรงเรือนที่เจ้าของใช้อยู่อาศัยและโรงเรือนปิดว่าง
4) มีการยกเว้นบ้านอยู่อาศัยที่ไม่เป็นธรรม โดยไม่ได้คำนึงถึงมูลค่าของบ้านและที่ดินที่แตกต่างกันมาก ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม
5) ผู้เช่าโรงเรือนอยู่อาศัยมักจะถูกผลักภาระภาษีตามสัญญาเช่าโรงเรือนอยู่อาศัยในขณะที่เจ้าของโรงเรือนบ้านอยู่อาศัยกลับได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี
6) การใช้ฐานค่าเช่ารายปีขัดกับหลักการจัดเก็บภาษีทรัพย์สิน เพราะการใช้ฐานค่าเช่ารายปีเป็นการจัดเก็บภาษีเฉพาะทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้เท่านั้น 

7) ภาษีโรงเรือนฯใช้ฐานค่ารายปีหรือค่าเช่าต่อปี ในการประเมินภาษี จึงมีความซ้ำซ้อนกับการเก็บภาษีเงินได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน

ที่มา gotoknow.org

ข้อคิดฝากไว้ ในการจัดเก็บรายได้

ข้อคิดฝากไว้ ในการจัดเก็บรายได้
25/2/2557 16.00 น.
(ว่างจากการออกเคลื่อนที่)
หลายครั้งที่ผมเห็นเพื่อนจัดเก็บรายได้ พยายามจะเก็บภาษี จากสิ่งก่อสร้าง ป้าย ที่ดิน ที่แปลกประหลาดโผล่เข้ามาในเขตปกครองของตัวเอง เราจะพยายามมองให้มันเขามาอยู่ในระบบภาษีเราทันที 
ซึ่งลักษณะอย่างนี้ คำสมัยใหม่ที่ใช้กัน ก็คือ ตีความขยายขอบเขตอำนาจของตัวเอง ที่ได้รับจาก พรบ.ที่ถือปฏิบัติอยู่ในมือ ทั้งที่ไม่มีอำนาจ
ผมจึงอยากฝาก ก่อนที่เราจะคิดว่าอะไรเสียภาษี อะไรไม่เสีย ให้เราทำใจให้เป็นธรรมแก่ผู้เสียภาษี เราต้องรู้หลักแห่งการตีความกฎหมายภาษีอากร ซึ่งมีหลักเกณฑ์ดังนี้

(1) ต้องตีความโดยเคร่งครัด ในทางที่ไม่เป็นโทษแก่ผู้เสียภาษี เอกสารอ้างอิงเช่น
-คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1908/2538 (เรื่องหนี้ค้างของสามี)
-คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6652/2542 (เรื่องสามีไม่มีเงินได้)
***ตัวอย่าง ที่เรามักทำหรือถามกัน ก็เช่น “ค่ารายปี” หมายความว่า จำนวนเงินซึ่งทรัพย์สินนั้นสมควรให้เช่าได้ในปีหนึ่งๆ แต่เราชอบไปเอาค่าอะไร ก็ไม่รู้มาคิดเป็นค่ารายปี ทั้งๆที่กฎหมายก็กำหนดไว้ชัดเจนแล้ว
(2) บทกฎหมายไม่ชัดเจน จะต้องตีความไปในทางที่ เป็นคุณหรือเป็นประโยชน์แก่ผู้เสียภาษี เอกสารอ้างอิงเช่น
-คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1271/2531 (เรื่องค่าโอนสิทธิการเช่า) 
***ตัวอย่าง ที่เรามักทำหรือถามกัน ก็เช่น เก็บเงินปักเศษหรือไม่ปัด ถ้าตีความอย่างเคร่งครัด คุณก็จะรู้คำตอบว่า ควรปัดเศษหรือไม่ 
(3) ต้องคำนึงถึงเจตนารมณ์ ของฝ่ายนิติบัญญัติในการบัญญัติกฎหมาย เอกสารอ้างอิงเช่น
-คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4687/2540 (ประชุมใหญ่) (เรื่องขอคืนอากรแสตมป์)
***ตัวอย่าง ที่เรามักทำหรือถามกัน ก็เช่น ป้าย เจตนาของ พรบ.ป้าย ที่ให้มีการเก็บภาษีป้ายทุกชนิดทุกประเภท และไม่ได้กำหนดให้มีป้ายชั่วคราว เพราะต้องการควบคุมปริมาณป้ายไม่มีมาก จนเป็นบ้านเมืองดูเลอะเทอะหรืออันตรายแก่ผู้คน ซึ่งปัจจุบันป้ายเรามีมากจนเกินการควบคุมไปแล้ว
(4) ต้องคำนึงถึงหลักความเป็นเอกเทศของกฎหมายภาษีอากร เอกสารอ้างอิงเช่น
-คำว่า “ขาย” ตามมาตรา 91/1(4)
“ขาย” หมายถึงรวมถึงสัญญาจะขาย ขายฝาก แลกเปลี่ยน ให้ ให้เช่าซื้อ หรือจำหน่ายจ่ายโอน ไม่ว่าจะมีประโยชน์ตอบแทนหรือไม่
-คำว่า “บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล” ตามมาตรา 39 
***ตัวอย่าง ที่เรามักทำหรือถามกัน ก็เช่น การจ่ายค่าปรับ เราจะเห็นได้ว่า พรบ.ป้ายกับ พรบ.บำรุงท้องที่ ได้ระบุไว้ชัดเจนให้ นายกฯ เป็นผู้มีอำนาจในการปรับ (เงินเพิ่ม)กรณีไม่ยื่นแบบภายในกำหนด อย่างนี้เราเอกเทศของกฎหมาย แต่ พรบ.โรงเรือนฯ ไม่ได้ระบุไว้ เราจึงเก็บค่าปรับ(เงินเพิ่ม) เองไม่ได้ ต้องให้เจ้าพนักงานสอบสวน(นายอำเภอ) เป็นผู้ปรับให้

ผมว่างานเก่าจัดเก็บเราก็เยอะอยู่แล้วนะครับ ทำไมเราถึงพยายามขยายขอบเขตอำนาจของตัวเอง เพื่อให้มีงานเพิ่มขึ้น ละครับ เราควรมองด้วยความเป็นธรรมแก่ประชาชนให้มากขึ้นนะครับ อย่าคิดเพียงแต่หารายได้อย่างเดียว 
อะไรที่มันยังไม่มีคำตัดสินอย่างเป็นที่สุด จากผู้รับผิดชอบโดยตรง เช่น ผู้ว่าฯ/กรม/ปลัดกระทรวง/รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบ/ศาล ก็ควรจะพิจารณาให้ถี่ถ้วนว่าควรทำหรือนำมาเป็นงานของเราหรือไม่
งานที่ทำอยู่ถูกต้องสมบูรณ์หรือยัง ถ้ายังผิดอยู่ ยังจะหาเรื่องผิดเข้ามาใส่ตัวอีกหรือครับ
อย่าโกรธกันนะครับ ถ้าเรื่องที่เล่านี้มันทำให้ท่านรู้สึกเหมือนว่า ผมกำลังพยายามทำให้จัดเก็บเราไม่พัฒนาคิดค้นอะไรใหม่ๆ ผมเพียงแค่ฝากข้อคิดว่าอะไรใหม่ที่เรากำลังพยายามพัฒนา ต้องมาจากฐานแห่งกฎหมายและความชอบธรรม ครับ
ด้วยความหวังดี
นายยุทธศักดิ์ พบลาภ
(Admin Jojo Zeer)
ประธานชมรมนักจัดเก็บรายได้
องค์กรปกครองท้องถิ่นแห่งประเทศไทย

กรณี เจ้าของไม่ยอมจ่ายภาษี จะให้ฟ้องแล้วค่อยจ่าย ...

ทำไงดีปลัดจะให้ฟ้องร้องโรงโม่หิน เค้าไม่ยอมมาจ่าย แต่หนูไม่อยากให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตเลยค่ะ จะแย่มั้ยเนี่ย มีใครเคยทำหรือป่าวขอปรึกษาหน่อยได้ไหมค่ะ
คำตอบ
1.ตามกฎหมายภาษีท้องถิ่นทุกฉบับ กำหนดไว้ในกรณีไม่ชำระภาษีภายในกำหนดเวลาให้พนักงานเจ้าหน้าดำเนินการตามขั้นตอน มีหนังสือเตือนเร่งรัดทุกๆ เดือน ไม่เกิน 3 เดือน แล้วมีหนังแจ้งเตือนเป็นครั้งสุดท้ายหากยังไม่ชำระภายใน 15 วัน อาจจำเป็นต้องใช้อำนาจตามกฎหมาย โดยอ้างมาตราของแต่ละภาษี ถึงมาตรการ ยึด อายัด หรือขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ค้างชำระภาษี หากยังไม่ชำระภาษีอีกให้แจ้งเรื่องต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อเสนอผู้บริหารท้องถิ่นลงนามในคำสั่ง ประกาศยึด อายัด ทรัพย์สินผู้ค้างชำระภาษี โดยพนักงานเจ้าหน้าที่ออกหมายเข้าตรวจสอบทรัพย์สินของผู้ค้างชำระตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย
2.การที่ปลัดจะส่งเรื่องเข้าสูศาลภาษีอากรกลาง ซึ่งผลที่สุดศาลจะให้กลับไปดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายก่อน
**สถาบันศีกษานโยบายสาธารณะ
Admin ”ประกอบ”

วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เรื่องที่ดิน ส.ค.1 (อ.อวิรุท)

มีผู้มาถามอีกว่า "อาจารย์ค่ะมีคำถามเรื่องภาษีบำรุงมีถามน่ะค่ะ คือว่ามีประชาชนยื่นเสียภาษี ส.ค.1 และเอาหนังสือซื้อขายมาแนบด้วย และบอกว่าเขาซื้อแล้ว ให้เปลี่ยนชื่อผู้เสียภาษีเป็นชื่อเขา ชื่อในสค.1 หรือชื่อในหนังสือซื้อขายค่ะเป็นผู้เสียภาาษี เป็นผู้สำรวจภาษีค่ะอาจารย์"

ผมเห็นว่า แม้ที่ดิน สค 1 เป็นเพียงที่ดินมือเปล่าเจ้าของมีเพียงสิทธิครอบครอง แต่ก็ถือว่าเป็นอสังหาริมทรัพย์ซึ่งตามปกติ การซื้อขาย แลกเปลี่ยน หรือให้ จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่กรณีนี้การซื้อขายที่ดินมิได้ทำเป็นหนังสือและ จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ นิติกรรมดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 แต่อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ถือว่า การซื้อขายดังกล่าวได้ว่ามีการโอนสิทธิครอบครองหรือ สละสิทธิครอบครองให้แล้ว เพราะการโอนสิทธิครอบครองก็ดี การสละสิทธิครอบครองก็ดี ไม่ต้องทำตามแบบอย่างใด ผู้รับโอนจึงได้สิทธิครอบครองไปทันทีโดยไม่ต้องรอให้ครบ 1 ปี ตามมาตรา 1375 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และผู้มีสิทธิครอบครองมีสิทธิโอนสิทธิครอบครองได้ ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1378 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่า "การโอนไปซึ่งการครอบครองนั้นย่อมทำได้โดยส่งมอบทรัพย์สินที่ครอบครอง"
นอกจากนี้ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 4 ทวิ บัญญัติว่า นับตั้งแต่วันที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ใช้บังคับ การโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดิน ซึ่งมีโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่" แต่ตามมาตรา 4 ทวิ มิได้กำหนดบังคับให้ที่ดิน ส.ค.1 ต้องทำเป็นหนังสือและ จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และกรณีนี้ เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การซื้อขายที่ดิน ส.ค.1 ที่มิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 แต่ผู้ขายได้ส่งมอบที่ดินให้ผู้ซื้อเข้าครอบครองแล้ว ผู้ซื้อย่อมได้สิทธิครอบครอง และเมื่อมาพิจารณาเรื่องการเสียภาษีบำรุงท้องที่แล้ว เห็นว่า การที่ผู้ซื้อเข้าไปครอบครองอยู่ในที่ดินเพื่อทำประโยชน์โดยมีเจตนาจะยึดถือเพื่อตนตามความหมายของคำว่า “ครอบครอง” ตามมาตรา 1367 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ด้วย และการเข้าไปครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินในลักษณะนี้จึงเป็นการ “ครอบครองอย่างเป็นเจ้าของ” ผู้ครอบครองที่ดินดังกล่าว จึงอยู่ในความหมายของคำว่า “เจ้าของที่ดิน” ตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508 ซึ่งมีหน้าที่ต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่ตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวครับ

อาจารย์อวิรุทธ์  ชาญชัยกิตติกร ผู้พิพากษาศาลภาษีอากรกลาง