มีผู้มาถามอีกว่า "อาจารย์ค่ะมีคำถามเรื่องภาษีบำรุงมีถามน่ะค่ะ คือว่ามีประชาชนยื่นเสียภาษี ส.ค.1 และเอาหนังสือซื้อขายมาแนบด้วย และบอกว่าเขาซื้อแล้ว ให้เปลี่ยนชื่อผู้เสียภาษีเป็นชื่อเขา ชื่อในสค.1 หรือชื่อในหนังสือซื้อขายค่ะเป็นผู้เสียภาาษี เป็นผู้สำรวจภาษีค่ะอาจารย์"
ผมเห็นว่า แม้ที่ดิน สค 1 เป็นเพียงที่ดินมือเปล่าเจ้าของมีเพียงสิทธิครอบครอง แต่ก็ถือว่าเป็นอสังหาริมทรัพย์ซึ่งตามปกติ การซื้อขาย แลกเปลี่ยน หรือให้ จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่กรณีนี้การซื้อขายที่ดินมิได้ทำเป็นหนังสือและ จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ นิติกรรมดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 แต่อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ถือว่า การซื้อขายดังกล่าวได้ว่ามีการโอนสิทธิครอบครองหรือ สละสิทธิครอบครองให้แล้ว เพราะการโอนสิทธิครอบครองก็ดี การสละสิทธิครอบครองก็ดี ไม่ต้องทำตามแบบอย่างใด ผู้รับโอนจึงได้สิทธิครอบครองไปทันทีโดยไม่ต้องรอให้ครบ 1 ปี ตามมาตรา 1375 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และผู้มีสิทธิครอบครองมีสิทธิโอนสิทธิครอบครองได้ ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1378 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่า "การโอนไปซึ่งการครอบครองนั้นย่อมทำได้โดยส่งมอบทรัพย์สินที่ครอบครอง"
นอกจากนี้ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 4 ทวิ บัญญัติว่า นับตั้งแต่วันที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ใช้บังคับ การโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดิน ซึ่งมีโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่" แต่ตามมาตรา 4 ทวิ มิได้กำหนดบังคับให้ที่ดิน ส.ค.1 ต้องทำเป็นหนังสือและ จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และกรณีนี้ เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การซื้อขายที่ดิน ส.ค.1 ที่มิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 แต่ผู้ขายได้ส่งมอบที่ดินให้ผู้ซื้อเข้าครอบครองแล้ว ผู้ซื้อย่อมได้สิทธิครอบครอง และเมื่อมาพิจารณาเรื่องการเสียภาษีบำรุงท้องที่แล้ว เห็นว่า การที่ผู้ซื้อเข้าไปครอบครองอยู่ในที่ดินเพื่อทำประโยชน์โดยมีเจตนาจะยึดถือเพื่อตนตามความหมายของคำว่า “ครอบครอง” ตามมาตรา 1367 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ด้วย และการเข้าไปครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินในลักษณะนี้จึงเป็นการ “ครอบครองอย่างเป็นเจ้าของ” ผู้ครอบครองที่ดินดังกล่าว จึงอยู่ในความหมายของคำว่า “เจ้าของที่ดิน” ตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508 ซึ่งมีหน้าที่ต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่ตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวครับ
อาจารย์อวิรุทธ์ ชาญชัยกิตติกร ผู้พิพากษาศาลภาษีอากรกลาง
ผมเห็นว่า แม้ที่ดิน สค 1 เป็นเพียงที่ดินมือเปล่าเจ้าของมีเพียงสิทธิครอบครอง แต่ก็ถือว่าเป็นอสังหาริมทรัพย์ซึ่งตามปกติ การซื้อขาย แลกเปลี่ยน หรือให้ จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่กรณีนี้การซื้อขายที่ดินมิได้ทำเป็นหนังสือและ จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ นิติกรรมดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 แต่อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ถือว่า การซื้อขายดังกล่าวได้ว่ามีการโอนสิทธิครอบครองหรือ สละสิทธิครอบครองให้แล้ว เพราะการโอนสิทธิครอบครองก็ดี การสละสิทธิครอบครองก็ดี ไม่ต้องทำตามแบบอย่างใด ผู้รับโอนจึงได้สิทธิครอบครองไปทันทีโดยไม่ต้องรอให้ครบ 1 ปี ตามมาตรา 1375 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และผู้มีสิทธิครอบครองมีสิทธิโอนสิทธิครอบครองได้ ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1378 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่า "การโอนไปซึ่งการครอบครองนั้นย่อมทำได้โดยส่งมอบทรัพย์สินที่ครอบครอง"
นอกจากนี้ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 4 ทวิ บัญญัติว่า นับตั้งแต่วันที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ใช้บังคับ การโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดิน ซึ่งมีโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่" แต่ตามมาตรา 4 ทวิ มิได้กำหนดบังคับให้ที่ดิน ส.ค.1 ต้องทำเป็นหนังสือและ จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และกรณีนี้ เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การซื้อขายที่ดิน ส.ค.1 ที่มิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 แต่ผู้ขายได้ส่งมอบที่ดินให้ผู้ซื้อเข้าครอบครองแล้ว ผู้ซื้อย่อมได้สิทธิครอบครอง และเมื่อมาพิจารณาเรื่องการเสียภาษีบำรุงท้องที่แล้ว เห็นว่า การที่ผู้ซื้อเข้าไปครอบครองอยู่ในที่ดินเพื่อทำประโยชน์โดยมีเจตนาจะยึดถือเพื่อตนตามความหมายของคำว่า “ครอบครอง” ตามมาตรา 1367 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ด้วย และการเข้าไปครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินในลักษณะนี้จึงเป็นการ “ครอบครองอย่างเป็นเจ้าของ” ผู้ครอบครองที่ดินดังกล่าว จึงอยู่ในความหมายของคำว่า “เจ้าของที่ดิน” ตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508 ซึ่งมีหน้าที่ต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่ตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวครับ
อาจารย์อวิรุทธ์ ชาญชัยกิตติกร ผู้พิพากษาศาลภาษีอากรกลาง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น