ประเด็นปัญหาการจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดิน
พิจารณากรณีการจัดเก็บภาษีที่อยู่อาศัยตาม
พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน
พ.ศ.2475
เนื่องจากภาษีโรงเรือนและที่ดินเป็นภาษี
“ท้องถิ่น” ซึ่งมีผลกระทบต่อท้องถิ่นโดยตรง อันส่งผลไปถึงการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมชุมชนของท้องถิ่นโดยตรง
ในที่นี้ผู้เขียนมีประเด็นพิจารณาอยู่ 2 ประเด็น คือ
ประเด็นที่
1 ประเด็น “ที่อยู่อาศัย”
ขอแยกพิจารณาเรื่อง “ที่อยู่อาศัย” ออกเป็น 2 กรณี
คือ
(1) “ที่อยู่อาศัย”
ที่เจ้าของอยู่เอง ได้รับการยกเว้นภาษีโรงเรือนและที่ดินตามมาตรา 10
(2) “ที่อยู่อาศัย”
ที่เจ้าของมิได้อยู่เอง แต่ปิดไว้ตลอดปี ได้รับการยกเว้นภาษีโรงเรือนและที่ดินตามมาตรา 9 (5)
ฉะนั้น ในกรณีที่ “ที่อยู่อาศัย”
ที่เจ้าของอยู่เอง แต่ปิดไว้ตลอดปี ก็จะได้รับการยกเว้นภาษีโรงเรือนและที่ดินตามข้อยกเว้นมาตรา
10 กล่าวคือ เป็นกรณีที่เจ้าของอยู่เอง
ไม่ว่าจะเปิด หรือปิดตลอดปีก็ตาม
จากประเด็นปัญหาข้างต้น
ก่อให้เกิดปัญหาในเรื่อง “หลักความเป็นธรรมทางสังคม” สำหรับผู้ที่บ้านอยู่อาศัย(รวมมูลค่าของที่ดินด้วย)มีมูลค่าสูง
ๆ ในเรื่อง “ฐานภาษีแคบลง”
เพราะมีการยกเว้นภาษีให้แก่โรงเรือนที่เจ้าของใช้อยู่อาศัย หรือ
ที่เจ้าของมิได้อยู่เอง แต่ปิดไว้ตลอดปี เป็นผลทำให้ท้องถิ่นจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินได้น้อย
มีเงินไม่เพียงพอแก่การใช้จ่าย
กรณีการอยู่อาศัยเอง
โดยเฉพาะ ในกรณีที่เจ้าของไปปลูกบ้านที่อยู่อาศัยมูลค่าสูง ๆ เพื่อเป็นบ้านพักผ่อน
หรือบ้านตากอากาศของเศรษฐี ในกรณีนี้
หากข้อเท็จจริงปรากฏว่าบ้านโรงเรือนที่ปลูกเป็น “ที่อยู่อาศัย” ก็จะถูกตีความว่าเข้าข้อยกเว้นทันที
ไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน ตามมาตรา 10 ซึ่งไม่ถูกต้อง
เป็นปัญหาในการตรวจสอบและวินิจฉัย เพราะ “ที่อยู่อาศัย” ควรหมายถึงที่พักที่อยู่ประจำ
หรืออย่างน้อยต้องเฉลี่ยระยะเวลาการอยู่อาศัยไม่น้อยกว่า 180 วัน (6 เดือน) แต่ปรากฏว่า บ้านพักผ่อน
หรือบ้านตากอากาศของเศรษฐี ดังกล่าว
มีการปลูกบ้านทิ้งไว้ แล้วมิได้อยู่ประจำตามความหมายของ
“ที่อยู่อาศัย” แต่ก็ได้รับการยกเว้นภาษีโรงเรือนและที่ดินโดยปริยายเช่นกัน
ทำให้เห็นถึงความ “ไม่เป็นธรรม” ได้
ฉะนั้น
กรณีตีความว่าเป็น “ที่อยู่อาศัย” แล้ว
มิได้หมายความว่าจะได้รับการยกเว้นภาษีโรงเรือนและที่ดินทั้งหมด ดังกล่าวข้างต้น
จึงถือเป็นช่องว่างของกฎหมายที่นำไปตีความในทางที่เป็นประโยชน์ต่อนายทุนหรือผู้ที่มีทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก
โดยไม่คำนึงถึงการกระจายรายได้ หรือ
การกระจายภาระทางสังคมให้แก่เศรษฐีหรือผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจสูง
ซึ่งมีทรัพย์สินที่มิได้ก่อให้เกิดประโยชน์ในทางเศรษฐศาสตร์แต่อย่างใด
ประเด็นที่ 2 ในกรณีไม่มีค่าเช่าหรือหาค่าเช่าไม่ได้ เช่น เจ้าของดำเนินการเอง
ในความหมายของ “ค่ารายปี”
ตามมาตรา 8 แห่ง พรบ.ภาษีโรงเรือนและที่ดินฯ
ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องใช้ดุลยพินิจในการประเมินค่ารายปี ประสบกับปัญหามาตรฐานความถูกต้องในการจัดเก็บภาษี
เรื่องนี้กระทรวงมหาดไทย
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (เดิมกรมการปกครอง) ได้มีหนังสือสั่งการกำหนดให้นำ “อัตราค่าเช่ามาตรฐานกลางเฉลี่ยต่อตารางเมตร”
มาใช้ในกรณีที่หาค่าเช่าไม่ได้ หรือ
นำมาเป็นฐานในการประเด็นการจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินที่ถูกต้องเป็นธรรม
ตามนัยหนังสือสั่งการกระทรวงมหาดไทย ที่
มท 0307/ว 2393 เรื่อง
ซักซ้อมแนวทางการจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดิน และการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี
ลงวันที่ 10 กันยายน 2536 แต่อย่างไรก็ตาม ตามบันทึกความเห็นของกฤษฎีกาเลขเสร็จที่
359/2536 มีความเห็นว่า
การดำเนินการดังกล่าวของหน่วยราชการบริหารส่วนท้องถิ่นอาจกำหนดเป็นการภายใน
(แนวทางปฏิบัติภายใน) ยังไม่ถือเป็นการทั่วไป ซึ่งการกำหนดอัตราค่าเช่ามาตรฐานกลางเฉลี่ยต่อตารางเมตรนี้มีหลักการโดยสรุปก็คือ
การแบ่งย่านที่ดินออกเป็นย่าน ๆ ตามสภาพการใช้ประโยชน์ธุรกิจ หากย่านใดมีการใช้ประโยชน์ธุรกิจมากก็คิดคำนวณอัตราภาษี “ค่าเช่ามาตรฐานกลางเฉลี่ยต่อตารางเมตร” ที่สูงกว่าอีกย่านหนึ่ง
ทั้งนี้ให้มีการพิจารณาปรับปรุงเป็นประจำทุกปี ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาไม่มีค่าเช่าหรือหาค่าเช่าไม่ได้
เช่น เจ้าของดำเนินการเอง
จึงมองได้ว่า
นอกจากภาษีโรงเรือนและที่ดินมีฐานภาษีที่ไม่มีความแน่นอนแล้ว การใช้ฐานค่าเช่ารายปีดังกล่าว
ยังขัดกับหลักการจัดเก็บภาษีทรัพย์สินเพราะเป็นการจัดเก็บภาษีเฉพาะทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้เท่านั้น
ปัญหาการประเมินและจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดิน
พบว่า มีทั้งใช้รูปแบบที่เป็นทำเล
ซึ่งเดิมและปัจจุบันนี้ยังใช้อยู่ จะมีแต่เกณฑ์
ประเมินเฉพาะอาคารที่ตั้งอยู่ในทำเลที่กำหนดมาตรฐานไว้แล้ว
ส่วนบริเวณที่ไม่มีการกำหนดไว้ ก็ไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ทำให้การตัดสินใจเก็บภาษี
มีข้อคิดพิจารณาได้ทั้ง 2 รูปแบบ ว่าจะจัดเก็บในลักษณะใดเป็นทำเลหรือตารางเมตร
สรุปปัญหาการจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดิน
ดังนี้
1)
ฐานภาษีไม่มีความแน่นอน โดยเฉพาะในกรณีไม่มีค่าเช่าหรือหาค่าเช่าไม่ได้
2)
อัตราภาษีสูงเกินไป ในอัตราร้อยละ 12.5 ของค่าเช่าต่อปี
ซึ่งเป็นอัตราที่ไม่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันทำให้มีการหลบเลี่ยงภาษี
3)
ฐานภาษีแคบ
เนื่องจากยกเว้นภาษีให้แก่โรงเรือนที่เจ้าของใช้อยู่อาศัยและโรงเรือนปิดว่าง
4)
มีการยกเว้นบ้านอยู่อาศัยที่ไม่เป็นธรรม
โดยไม่ได้คำนึงถึงมูลค่าของบ้านและที่ดินที่แตกต่างกันมาก
ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม
5)
ผู้เช่าโรงเรือนอยู่อาศัยมักจะถูกผลักภาระภาษีตามสัญญาเช่าโรงเรือนอยู่อาศัยในขณะที่เจ้าของโรงเรือนบ้านอยู่อาศัยกลับได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี
6)
การใช้ฐานค่าเช่ารายปีขัดกับหลักการจัดเก็บภาษีทรัพย์สิน
เพราะการใช้ฐานค่าเช่ารายปีเป็นการจัดเก็บภาษีเฉพาะทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้เท่านั้น
7)
ภาษีโรงเรือนฯใช้ฐานค่ารายปีหรือค่าเช่าต่อปี ในการประเมินภาษี
จึงมีความซ้ำซ้อนกับการเก็บภาษีเงินได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน
ที่มา gotoknow.org
ที่มา gotoknow.org
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น